บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com/
ปัจจุบันมีพ่ออยู่บ้านดูแลลูกตั้งแต่เกิด ขณะที่แม่ทำงานนอกบ้านมากขึ้น การศึกษาพบว่าเด็กๆที่ได้รับการดูแลโดย “มิสเตอร์มัม” เติบโตเป็นคนที่มีสุขภาพจิตและอารมณ์ปกติเหมือนเด็กในบ้านที่พ่อทำงานนอกบ้าน และแม่อยู่บ้าน ไม่ได้ทำให้ลูกชายลูกสาวโตขึ้นมามีความเบี่ยงเบนทางเพศแต่อย่างใด
แม้สังคมส่วนใหญ่ยังคิดว่าการเลี้ยงลูกเป็นงานของผู้หญิง ไม่มีเหตุผลใดที่จะอ้างว่าพ่อไม่มีความสามารถในการดูแลลูกได้ดีเท่ากับแม่ ทุกๆคนในบ้านได้รับประโยชน์จากการที่ทั้งพ่อและแม่ร่วมการดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับลูก ถึงแม้ว่าขั้นตอนการคลอดลูก พ่อจะไม่ได้รับผิดชอบเท่ากันกับแม่ก็ตาม ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะลดลงอย่างมากหากความรับผิดชอบในการดูแลลูกส่วนใหญ่ตกอยู่ที่แม่ เพราะเป็นการบอกเป็นนัยว่าการดูแลลูกไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของพ่อ กล่าวคือ การเป็นพ่อแม่แบบที่ดีที่สุด คือ การร่วมกันดูแลลูกโดยเท่าเทียมกันระหว่างพ่อแม่
หากผู้ชายให้ความสำคัญในการทำงานนอกบ้านเพียงอย่างเดียว โดยคำนึงถึงชื่อเสียงเกียรติยศและเงินทอง จะทำให้เขาหลงทาง ไปสู่การแก่งแย่งแข่งขันทุ่มเทกับการทำงานมากเกินไป วัตถุนิยมมากเกินไป ละเลยความสัมพันธ์กับภรรยาและลูกๆ ละเลยความสัมพันธ์กับมิตรภาพ ความสัมพันธ์ในชุมชน และละเลยความสนใจในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความเครียดมากมาย
ไม่ได้หมายความว่า เรื่องรายได้เป็นเรื่องไม่สำคัญ สำหรับครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ ยิ่งถ้าเป็นครอบครัวที่มีผู้ดูแลคนเดียว เรื่องรายได้ยิ่งมีความสำคัญ แต่หากพ่อหรือแม่บ้างานมากขึ้นมากเท่าไร จะละเลยเรื่องครอบครัว ย่อมส่งผลกระทบกับครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่อาจทำให้คนที่รับหน้าที่อยู่บ้านดูแลลูกรู้สึกไม่ดี ไม่ภาคภูมิใจ คิดว่างานบ้านที่ตัวเองทำอยู่นั้นไม่มีความสำคัญเท่ากับงานนอกบ้าน
ถ้าพ่อทำงานนอกบ้าน แม่อยู่บ้าน ทุกคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ ภรรยา หรือตัวพ่อเอง จะได้รับประโยชน์สูงสุด ถ้าพ่อมีส่วนร่วมในการดูแลลูกครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า อาจช่วยภรรยาทำงานบ้านด้วย ในเวลาที่พ่ออยู่บ้านวันเสาร์อาทิตย์หรือกลับจากที่ทำงานตอนเย็น เพราะในช่วงเย็นของทุกวันจะเป็นเวลาที่แม่เริ่มเหนื่อยล้าและความอดทนถึงขีดต่ำสุดในการเป็นผู้นำทีมดูแลลูก (เช่นเดียวกัน หากพ่อเป็นคนอยู่บ้านดูแลลูก และภรรยาเป็นคนทำงานนอกบ้าน) เด็กๆจะได้รับประโยชน์จากการผลัดกันเป็นผู้นำทีมจากพ่อและแม่ เป็นรูปแบบที่ไม่กันฝ่ายหนึ่งออกไป แต่เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกันให้ดียิ่งขึ้น
พ่อช่วยป้อนนม ป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อม เลือกเสื้อผ้า เช็ดน้ำตาให้ลูก เช็ดน้ำมูก อาบน้ำ พาลูกเข้านอน อ่านหนังสือนิทาน ซ่อมของเล่น ยุติการทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง ช่วยตอบคำถามของลูก ช่วยเรื่องการบ้าน อธิบายกฎเกณฑ์ระเบียบของสังคมและในบ้าน แบ่งงานรับผิดชอบให้ลูกๆทำ ช่วยทำงานในบ้าน เช่น ซื้อของใช้ เตรียมอาหาร ทำอาหาร เสริฟอาหาร ล้างจาน ปูเตียง ทำความสะอาดบ้าน และซักผ้ารีดผ้า
หากพ่อช่วยแม่ทำงานบ้าน ไม่เพียงแต่จะช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ แต่ยังเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาแน่นแฟ้นขึ้น งานที่แม่ทำเป็นงานที่ทรงคุณค่าสำหรับความผาสุกของครอบครัว เป็นงานที่ต้องอาศัยความชำนาญและการตัดสินใจที่ดี และเป็นการแสดงความสำคัญในบทบาทของพ่อว่ามีส่วนเท่าๆกับแม่ ในเวลาที่พ่ออยู่บ้าน เหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกชายและลูกสาวต้องเรียนรู้ เมื่อเขาโตขึ้น เพื่อจะเป็นแบบอย่างในการเท่าเทียมกันระหว่างเพศชายและเพศหญิง