ท้องสาม ลองแล้วถึงรู้ ตอน นมผสม-1 เห็นชื่อหัวข้อว่า นมผสม แล้วก็อย่าเพิ่งตกใจคิดว่าวันนี้ webmother จะมาแนะนำให้ลูกกินนมผสมกันหรือยังไง ไม่ใช่ค่ะ ที่วันนี้อยากจะคุยเรื่องนมผสม ก็เพราะเพิ่งจะตระหนักว่านอกจากนมผสมจะเป็นตัวการทำให้แม่ไม่มีน้ำนมตั้งแต่แรกคลอด จากการที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายชอบเอานมผสมให้ก่อนแล้ว ยังเป็นตัวการทำให้แม่ที่อุตส่าห์ฟันฝ่าอุปสรรคไม่ได้ให้นมผสมตั้งแต่แรก และสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างดีจนครบหกเดือนได้ กลายเป็นแม่ที่มีนมไม่พอ (อีกจนได้)
กรณีที่แม่มือใหม่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ และถูกสถานการณ์บังคับทำให้ต้องให้นมผสมนั้น รู้สึกน่าเห็นใจเป็นอย่างมาก แต่แม่ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนให้นมแม่ได้ตั้งแต่แรก แต่มาตกม้าตายให้นมผสมตอนสามสี่เดือน หรือหกเดือนไปแล้วนี่น่าเสียดายมากๆ ค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอเล่าซ้ำให้ฟังอีกครั้งว่าลูกคนแรกคลอดปี 45 แม่แค่ตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะแม่ของแม่กำชับมาว่าให้หลานกินนมแม่ ประกอบกับพ่อเขาก็เชื่อว่าลูกคนต้องกินนมคนเท่านั้น แต่เวลานั้น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขนาดนี้ ลูกคนแรกก็เลยได้รับนมผสมตอนที่อยู่โรงพยาบาลสองสามวัน พอกลับมาบ้าน พ่อเขาก็เททิ้งหมด แล้วหลังจากนั้นลูกคนโตก็ไม่ได้กินนมผสมเลย
ด้วยความที่ความรู้ยังน้อย ก็ทุลักทุเลพอสมควร หานู่นหานี่มากินเพื่อจะได้มีนมพอ แต่ไม่รู้กฎสำคัญที่ว่ายิ่งให้ลูกดูดแล้วยิ่งมีน้ำนม ไม่รู้ว่าควรจะให้กินนมแม่อย่างเดียวหกเดือน ลูกคนโตก็เลยเริ่มกล้วยบดตั้งแต่สามเดือนกว่า พอเจ็ดแปดเดือนก็เริ่มปั๊มนมไม่ค่อยออกเพราะไม่รู้ว่าเครื่องปั๊มนมดีๆ กับไม่ดี มีผลต่างกันยังไง เมื่อปั๊มนมไม่ออกก็เลยไปซื้อเครื่องทำนมถั่วเหลือง แล้วก็เริ่มให้นมถั่วเหลืองที่ทำเองตอนสิบเอ็ดเดือน ควบคู่ไปกับนมแม่และอาหารอื่น ไม่เคยคิดถึงนมผสมเลย
จากประสบการณ์ของลูกคนโต ทำให้เห็นคุณค่าของนมแม่อย่างเต็มที่ ลูกคนที่สองก็เลี้ยงด้วยนมแม่ได้ง่ายขึ้น แต่ตอนคลอดใหม่ๆ ก็เรียกว่ายังไม่ได้รู้มากเท่าไหร่ อาศัยแค่ประสบการณ์เดิมๆ พอลูกตัวเหลือง หมอบอกให้งดนมแม่แล้วส่องไฟ ก็เชื่อหมอ ลูกคนที่สองก็เลยได้นมผสมไปอีกสองวันตอนที่ส่องไฟอยู่โรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ไม่ได้นมผสมอีกเลยเช่นกัน
พอลูกคนที่สองได้สามเดือน เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับนมแม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน จากเว็บของต่างประเทศมากมาย จนต้องเอามาเผยแพร่เป็นเว็บนี้ขึ้นมา ทำไปทำมาจนลูกคนที่สองหย่านมไปแล้ว เข้าโรงเรียนแล้วก็ยุ่งๆ จนใกล้จะหมดไฟในการทำเว็บนี้ไปเลย แต่ก็เหมือนฟ้าลิขิต อยู่ดีๆ ก็ทำให้มีลูกคนที่สามจนได้
ลูกคนนี้ก็มาจุดไฟให้แม่มีความรู้สึกอยากคิดอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับนมแม่ต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ก็ไม่ค่อยจะมีเวลาเท่าไหร่
เนื่องจากมีประสบการณ์และข้อมูลมากมายจากการทำเว็บนี้มาสามปีกว่า ทำให้ลูกคนนี้รอดจากนมผสมตั้งแต่แรกคลอดมาได้ แม้กระทั่งตัวเหลืองก็ยังผ่านมาได้ตามที่เล่าให้ฟังไปตอนที่แล้ว
เกริ่นมาเยอะแยะก็เพียงเพื่อจะบอกว่า จริงๆ แล้วโลกเราไม่จำเป็นต้องมีนมผสมก็ได้ ถ้าไม่มีนมผสม เราจะไม่มีปัญหากับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เลย การที่ลูกร้องตลอดเวลาตั้งแต่แรกคลอดก็จะไม่ใช่ปัญหา การที่ลูกต้องการดูดนมแม่ตลอดเวลาก็จะไม่ใช่ปัญหา การที่ลูกดูดนมแม่นานๆ ก็จะไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติต่างหาก
ถ้าไม่มีนมผสม แม่ที่อาจจะมีปัญหาทางสุขภาพและร่างกายจนไม่อาจให้นมลูกได้จริงๆ คงจะมีไม่เกิน 5% ของมนุษย์ทั้งหมด ตามความน่าจะเป็น เท่าที่เคยเป็นมานับพันๆ ปีของมนุษยชาติ
แต่ตั้งแต่เริ่มมีผู้คิดค้นผลิตนมผสมขึ้นมาเมื่อปี 1867 ความโลภของมนุษย์ ทำให้เกิดการตลาดที่ไร้จรรยาบรรณ จนทำให้ทุกวันนี้เหลือแม่ที่เชื่อว่าตนเองมีนมพอสำหรับลูกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ มนุษย์เรากำลังจะวิวัฒนาการตัวเองให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของสัตว์ชนิดอื่นหรือ
ไม่ใช่เลย เพราะความโลภและการตลาดที่ไร้จรรยาบรรณต่างหากที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า นมแม่ไม่พอ
เพิ่งซื้อหนังสือมาใหม่เล่มหนึ่งชื่อว่า "The Politics of Breastfeeding: When Breasts are Bad for Business" เขียนโดย Gabrielle Palmer
มีประเด็นหนึ่งกล่าวไว้น่าสนใจมากว่า ในบางสังคมแบบโบราณ มีความเชื่อว่า ถ้าถูกคำสาปหรือแช่ง จะทำให้น้ำนมแม่แห้งหายไปได้ แล้วผู้เขียนก็เปรียบเทียบว่า ในสังคมปัจจุบันนี้ก็มีคำสาปแช่งสมัยใหม่เช่นกัน
คำสาปแช่งนั้นมีว่า "If breastmilk fails,..." ใช่แล้ว ประโยคที่เราคุ้นเคยกันดี "ถ้านมแม่ไม่พอ...(ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงนมแม่ที่สุด คือผลิตภัณฑ์... ของผู้สาปแช่งนั่นเอง)"
คำสาปแช่งนี้ ผู้ผลิตนมผสมทุกรายใช้ได้ผลมาแล้วกับคนทั่วโลก และยังคงเดินหน้าใช้มันต่อไป พร้อมๆ กับคำกล่าวอ้างว่าพวกเขากำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพและความฉลาดของลูกน้อยของเรา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วผู้ผลิตนมผสมเหล่านั้นกลับปกปิดข้อมูลมากมายที่ควรจะเปิดเผย เพื่อให้พ่อแม่ตระหนักและระมัดระวังมากกว่านี้หากเลือกที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมผสม
ขอยกตัวอย่างข้อมูลที่น้อยคนนักที่จะรู้อย่าง เช่น
นมผงดัดแปลงสำหรับทารกที่ขายกันอยู่ทั่วโลกนี้ (ทุกยี่ห้อ) ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดเชื้อ แม้ว่าจะบรรจุอยู่ในกระป๋องหรือบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิทมาจากโรงงานก็ตาม นมผงเหล่านั้นไม่ได้ผ่านกระบวนการสเตอริไรส์เซชั่น หรือการฆ่าเชื้อโรคในระหว่างการผลิตเลย นั่นก็เพราะว่ากระบวนการสเตอริไรส์เซชั่นจำเป็นต้องใช้ความร้อนสูงเพื่อการฆ่าเชื้อโรค แต่ถ้าใช้ความร้อนสูงในกระบวนการผลิต ก็จะไปทำลายคุณสมบัติของสารอาหารในผลิตภัณฑ์นั้นเอง
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้ยินข่าวว่ามีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียชนิดต่างๆ ในนมผงที่วางขายกันอยู่บ่อยๆ ทำให้ทารกที่กินนมผสมเหล่านั้นได้รับเชื้อโรค ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้
ทุกครั้งที่เราเปิดนมกระป๋องเพื่อเลี้ยงลูก เท่ากับเรากำลังเสี่ยงว่า กระป๋องนี้จะถูกแจ็คพ็อตหรือไม่ ซึ่งเป็นแจ็ตพ็อตที่เราไม่อยากได้เลย
ตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปัจจุบัน (4/2009) มีรายงานการปนเปื้อนของเชื้อโรค และการเรียกเก็บนมผสมยี่ห้อต่างๆ ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับทารกออกจากท้องตลาดเป็นจำนวนถึง 78 ครั้ง ในหลายสิบประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และประเทศไทยเอง (http://www.ibfan.org/site2005/Pages/article.php?art_id=85&iui=1)
เนื่องจากนมผงดัดแปลงสำหรับทารกไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงต้องออกคู่มือเพื่อแนะนำวิธีการเตรียมนมผสมให้ปลอดภัยสำหรับทารกขึ้นมาโดยเฉพาะ คู่มือนี้มี 32 หน้า ใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างก็ดาวน์โหลดไปอ่านกันค่ะ (http://www.who.int/foodsafety/publications/micro/pif_guidelines.pdf)
คำแนะนำหนึ่งในนั้นก็คือ น้ำที่จะใช้เตรียมนมผสมต้องต้มให้เดือดแล้วปล่อยให้อุณหภูมิลดลง แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 70 องศาเซลเซียส แล้วค่อยผสมนมผงลงไป เพราะถ้าน้ำมีอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในนมผงนั้นได้ หลังจากนั้นจึงค่อยทิ้งไว้ให้เย็นลงต่อ จนกระทั่งสามารถป้อนทารกได้โดยไม่ลวกปาก คำแนะนำนี้มีอยู่ข้างนมกระป๋องยี่ห้อไหนบ้างไหมคะ
ข้อมูลอีกอย่างก็คือ ขวดนมพลาสติกใสๆ ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในท้องตลาดบ้านเรานั้นมีสาร Bisphenol A (BPA) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนและสมองของทารก การใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบเข้มข้นและความร้อนสูงในการทำความสะอาด หรือใช้บรรจุของเหลวร้อนๆ จะทำให้ขบวนการขับสารพิษออกมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้น
ถ้าเราไม่ใช้น้ำร้อนชงนม ไม่นึ่งขวดนม ลูกเราก็กำลังเสี่ยงกับเชื้อโรคอันตราย ถ้าเราใช้น้ำร้อนชงนม ลูกเราก็กำลังเสี่ยงกับสารก่อมะเร็ง นี่คือสิ่งที่เราได้รับเมื่อเราตัดสินใจเลือกหรือถูกบังคับ (หรือถูกสาปแช่ง) ให้เลือกที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมผสม ไม่นับความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผลเสียทางสุขภาพอื่นๆ อีกในระยะยาว
เรื่องของนมผสมนี้ยังไม่จบค่ะ ยังไม่ได้พูดถึงว่าทำไมแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาดีๆ กลับต้องมาเสียท่านมผสมได้ยังไงเลย แต่รู้สึกว่าบทความนี้ยาวเกินไปแล้ว ขอยกไปต่อ ตอน 2 ค่ะ
webmother@breastfeedingthai.com
หมายเหตุ-ขวดนมที่ปราศจาก BPA ในท้องตลาดบ้านเราขณะนี้ราคาประมาณ 2-300 บาทต่อหนึ่งขวด ขวดแก้วราคาประมาณ 3-400 บาท :(
สามารถอ่านหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้ได้โดย scroll down ลงไปด้านล่าง |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (103873) | |
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่แบ่งบันคะ ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่ อ่านแล้วได้ประโยช์มากๆเลย เพราะตัวเองก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่คะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น somjeed วันที่ตอบ 2009-07-13 09:32:27 |
ความคิดเห็นที่ 2 (103875) | |
ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านมแม่สำคัญถึงเพียงนี้ และนมผสมอันตรายขนาดนั้น ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ และขอเป็นกำลังใจให้เผยแพร่งานดีๆอย่างนี้ต่อไป เพื่อลูกหลานและอนาคตของประเทศเราค่ะ ยินดีสนับสนุนเต็มที่ค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปริญ วันที่ตอบ 2009-07-13 12:12:46 |
ความคิดเห็นที่ 3 (103876) | |
เพิ่งรู้ซึ้งถึงคำว่านมแม่ เมื่อเป็น อสม.แล้วสมัครเข้าโครงการนมแม่ และก็เสียใจมากที่ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่เลย รู้แล้วว่าทำไมลูกปวดท้องเมื่อให้กินนมขวด จนกระทั่งเลี้ยงลูกเองไม่ได้ ต้องให้คนอื่นนำไปเลี้ยงแทน ไม่รู้เขาทำอะไรกับ ลูกเราบ้าง หกเดือนล่วงไปแล้วเขาถึงเอาลูกมาคืน บอกตรงว่าลูกเราไม่ครบร้อย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น แม่ที่เสียใจ (gullayar522-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-13 13:21:23 |
ความคิดเห็นที่ 4 (103992) | |
ขอบอกว่าเป็นคนนึงค่ะ ที่ทำความเข้าใจเรื่องนมแม่ และเตรียมตัวเป็นอย่างดีเรื่องนมแม่ ฝากครรภ์ก้อย้ายไปฝากกับ รพ.สนับสนุนนมแม่ และมีการเตรียมพร้อมอีกหลายอย่างมากๆ รวมทั้งอ่านข้อมูลเรียกว่า แทบจะทุกบทความเกี่ยวกับนมแม่ เคยผ่านสายตาดิชั้นมาแล้ว อยากบอกว่า ประสบความสำเร็จกับนมแม่ได้ เพราะข้อมูลที่ถูกต้องจากเวปนี้ และ ฯลฯ ถึงแม้ในระยะเริ่มแรกจะมีปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจกับคนรอบข้างบ้างเล็กน้อย แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น และมั่นใจในนมแม่ ดิชั้นไม่เคยหวั่น กับคำพูดใดๆ ตั้งใจให้นมแม่ต่อไปจนถึงที่สุด และไม่เคยให้นมผสมแก่ลูกเลย มีหลายคนรอบข้างมากมาย พยายามพูดให้ลูกกินข้าวตั้งแต่ยังไม่ 6 เดือน และให้เสริมนมชง ทำให้ดิชั้นแอบหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก ว่าเฮ้ย... ใครเป็นคนบัญญัติว่าในโชลกนี้เด็กต้องกินนมวัว ใครเป็นคนบัญญัติว่านมแม่ประโยชน์ไม่พอ และน้อยกว่านมวัวจนต้องเสริมนมวัว ได้แต่บอกไปว่าไม่ค่ะ อ้างหมอไปว่า หมอขอว่า ให้นมแม่อย่างน้อย 2 ปี มีรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าคนนึง ด้วยความหวังดีกับน้องตัวเอง มาเล่าให้ดิชั้นฟังว่า "ดูสิน้องสาวตัวเองลูกจะขวบแล้ว ยังให้กินนมตัวเองอยู่อีก หลัง 6 เดือนไม่มีประโยชน์แล้ว บอกยังงัยก้อไม่เชื่อ" ดิชั้นได้แต่ก๊อปบทความหลายบทความจากเวปนี้ ส่งไปให้อ่านทางอีเมล์ จนล่าสุดไม่แน่ใจว่าพี่เค้าไม่เข้าใจ หรือยังไม่ได้อ่าน พี่ท่านนั้นมาบอกดิชั้นว่า “พี่เห็นหลานแล้วสงสาร แม่เค้าไม่เสริมอะไรเลย ให้กินแต่นมตัวเอง กับข้าว พี่บอกให้ซื้อนมชงเสริม ก้อไม่เชื่อ” ฟังอย่างนี้แล้วได้แต่คิดว่า ทำไมนะ กลายเป็นเข้าใจว่า การให้นมแม่เป็นเรื่องของคนจน? คนไม่มีเงินหรอ? ทั้งที่ทุกครั้งที่ได้คุยกัน ดิชั้นจะบอกเสมอว่า ดีแล้วพี่ให้นมแม่นานๆสิดี ดิชั้นก้อจะให้นานๆ เหมือนกัน แต่ป่านนี้พี่ท่านนั้นคงซื้อนมวัวไปให้หลานเรียบร้อยหรือยัง ไม่ทราบได้ ล่าสุด เพื่อนบ้านหลายๆ คน ถามตรงกันเลยว่า จะให้ลูกกินนมวัวเมื่อไหร่ ดิชั้นก้อบอกไปว่าคงไม่ค่ะ อ้างหมอเหมือนเดิม ว่าหมอขอสองปี ใจจริงน่ะ จะให้นานกว่านั้นยาวๆ เลย แต่ไม่พูดละค่ะ เพราะเคยพูดแล้วมีแต่คนหัวเราะ หาว่าบ้า ป่านนั้นจะมีนมให้ลูกรึป่าว? (ดิขั้นให้นมลูกมาจะ 8 เดือนแล้ว น้ำนมยังมาปรกติ พุ่งปรี๊ดๆ เหมือนเดิม เพราะการปั๊มนม) หลังจากที่พูดตอบไปว่าจะให้นมแม่นานๆ ยังถามกันต่ออีกว่า จะเสริมนมชงมั้ย? เฮ้อเอาอีกแล้ว คำถามยอดฮิต ดิชั้นตอบไปเช่นเดิม ไม่ค่ะ หมอขอนมแม่สองปี แต่เวลาเจอหน้ากัน ก้อยังโดนถามเสมอๆ เรื่องเสริมนมชง ในความเข้าใจของตัวเองของที่จะมาเสริมมันต้องเอามาแทนในส่วนที่ขาดและไม่พอ แต่นมแม่ประโยชน์พอเกินจะพอ แล้วทำไมต้องเสริม? แม้แต่สามีก้อยังบอกว่า หลังสองปี อยากให้ลูกกินนมวัว ดิชั้นยังอยากให้ลูกกินนมคนต่อไป แม้ใครจะบอกว่าให้นมแม่ แล้วแม่จะโทรม ดิชั้นไม่เคยกลัว แต่ให้ไม่เหลือความงามแม้แต่น้อย ดิชั้นก้อยินดีทำเพื่อลูกถึงที่สุด ขอเพียงแค่ความเข้าใจและกำลังใจเท่านั้นพอ!! | |
ผู้แสดงความคิดเห็น แม่น้องต้นหนาว วันที่ตอบ 2009-07-18 08:00:56 |
ความคิดเห็นที่ 5 (103993) | |
อยากให้ความรู้ในบทความนี้ และเว็บไซต์นี้ ให้คุณแม่ทั้งประเทศได้รับรู้จริงๆ แล้วถ้าคุณแม่ที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต และไม่อ่านหนังสือแม่-ลูก เพื่อหาความรู้ ไม่ได้รับความรู้ดีๆ แบบนี้ ก็สงสารลูกน้อยจัง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น แม่พี่เฟรชกะน้องเฟรม วันที่ตอบ 2009-07-18 08:01:56 |
ความคิดเห็นที่ 6 (103994) | |
ก็ช่วยกัน fwd ให้คนที่รู้จักต่อไปสิคะ ใครมีเพื่อน แฟนเพื่อน พี่น้อง หรือคนรู้จัก โดยเฉพาะที่กำลังจะเป็นคุณแม่ยิ่งควรจะได้รับรู้ไว้ค่ะ เราไม่ต้องหวังสูงว่าเด็กไทยทั้งประเทศจะได้กินนมแม่ทั้งหมดหรอกค่ะ แค่ได้กินเพิ่มมาอีกคนจากที่เราแต่ละคนช่วยกันบอกต่อก็น่าดีใจแล้วค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2009-07-18 08:09:57 |
ความคิดเห็นที่ 7 (105229) | |
เป็นความรู้ที่ควรเผยแพร่ต่ออย่างมาก แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถเผยแพร่ให้ทราบได้มากๆ และคนจนไม่มีเงินซื้อของดีๆใช้ จะแก้อย่างไร ผู้ผลิตรับผิดชอบไหม | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ประยูรเทพ วันที่ตอบ 2009-09-08 05:42:00 |
ความคิดเห็นที่ 8 (105231) | |
คุณ Webmother เขียนบทความโดนๆ ได้ดีๆ เช่นเคย :)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น บี มามี๊ต่าต๋า วันที่ตอบ 2009-09-08 09:30:19 |
[1] |