บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com/
แบ่งเป็น 3 ด้านหลัก คือ
1. ด้านสุขภาพ เนื่องจาก
- ในนมแม่มีสารสำคัญมากมาย ช่วยป้องกันการเกิดโรค ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหวัด หูอักเสบ ปอดบวม ท้องร่วง ลำไส้เน่า ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ พบได้น้อยกว่า 5-10 เท่า เมื่อเทียบกันเด็กที่กินนมวัว แปลว่า เด็กที่กินนมวัวป่วยไป 5 ครั้งแล้ว เด็กที่กินนมแม่เพิ่งป่วยครั้งเดียว
- หากลูกได้กินนมแม่ จะช่วยให้ลูกไม่ต้องไปกินนมวัวซึ่งมีสารหลายชนิดที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง หรือ ลูกต้องได้รับสารแปลกปลอมปนเปื้อนนมผงเนื่องจากขั้นตอนการผลิต เช่น เชื้อแบคทีเรีย สารพิษประเภทโลหะหนัก หรือ เมลามีน
- เด็กที่กินนมแม่ พบปัญหา SIDS (sudden infant death syndrome) น้อยกว่าเด็กที่กินนมผง คือ โรคไหลตาย หรือ นอนหลับแล้วหยุดหายใจหรือเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เด็กกินนมแม่จะมีระดับภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนสูงกว่าเด็กที่กินนมผง
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากในนมแม่ มีสารแอนตี้ออกซิแด๊นท์ ซึ่งเป็นสารช่วยทำลายเซลมะเร็ง ในปัจจุบันพบว่านมแม่มีสารที่ช่วยกำจัดเซลมะเร็งได้ถึง 40 ชนิด กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาสกัดสารนี้เพื่อนำมาทำเป็นยารักษาโรคมะเร็ง
- ธาตุเหล็กในนมแม่ เป็นชนิดที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เอาไปใช้ประโยชน์ในการสร้างเม็ดเลือดแดง แต่ธาตุเหล็กที่อยู่ในนมผงเป็นชนิดที่ดูดซึมได้ยาก จึงเหลือตกค้างในลำไส้ ทำให้มีปัญหาท้องผูก และแบคทีเรียก่อโรคนำธาตุเหล็กที่ตกค้างไปใช้ได้
- ในภาวะวิกฤติ เช่น ภัยธรรมชาติ ภาวะสงคราม เคยมีเหตุการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว พายุหิมะ สึนามิ น้ำท่วม หากลูกกินนมผง ทารกจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสียชีวิตมากที่สุด เพราะเมื่อเกิดภัยพิบัติหรือสงคราม จะหาซื้อนมผงไม่ได้ หรือ ถึงแม้มีนมผงตุนเอาไว้ แต่ถ้าไม่มีน้ำสะอาดไว้ใช้ชงนมผง หรือ ทำความสะอาดขวดนม จะมีโอกาสติดเชื้อ ทำให้เกิดท้องร่วงท้องเสีย จนเสียชีวิตได้ แต่ถ้าลูกกินนมแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะอยู่ในภาวะขาดอาหารขั้นรุนแรง เนื่องจากหาอาหารกินไม่ได้เลย ในภาวะวิกฤติดังกล่าว ตราบใดที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกก็ยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ได้โดยการกินนมแม่
2. ด้านการเจริญเติบโต ในนมแม่มีสารอาหารครบถ้วน ปริมาณเหมาะสม ส่วนในนมผง บางอย่างมีมากเกินไป เช่น นมผงมีโปรตีน โซเดียมมากเกินไปทำให้ไตทำงานหนัก นมผงมีไขมันมากเกินไปทำให้เป็นโรคอ้วน นมผงมีฟอสฟอรัสมากเกินไปทำให้กระดูกพรุน
บางอย่างในนมผงมีน้อยเกินไป เช่น เกลือแร่ วิตะมินบางตัว
บางอย่างไม่มีในนมผงเลย เช่น เซลเม็ดเลือดขาว สารภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมนของมนุษย์ สารกระตุ้นการเติบโตเส้นประสาทและสมอง เยื่อบุลำไส้ สารต้านการอักเสบ สารต้านเซลมะเร็ง
บางอย่างที่ไม่ควรมี แต่ในนมผงมีอยู่ เช่น ฮอร์โมนของวัว สารเร่งโต สารเร่งการสร้างน้ำนมที่คนฉีดหรือให้วัวกิน เพือให้ผลิตน้ำนมได้มากๆ สารปนเปื้อน เช่น ยาปฏิชีวนะ แบคทีเรีย โลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรม เมลามีน ยังไม่มีบริษัทนมผงใดเลียนแบบนมแม่ได้เลย
3. ด้านพัฒนาการ เด็กที่กินนมแม่จะมี IQ (ความฉลาดทางด้านสติปัญญา) และ EQ (ความฉลาดทางด้านอารมณ์) ดีกว่า เนื่องจากดีเอชเอที่อยู่ในนมแม่ช่วยให้เด็กฉลาดกว่า ไอคิวแตกต่างจากเด็กที่กินนมผง 2-11 จุด
ถึงแม้นมผงจะมีดีเอชเอ แต่เป็นคนละชนิดกับที่มีอยู่ในนมแม่ เป็นดีเอชเอสังเคราะห์สกัดจากสาหร่าย เชื้อรา
มีการวิจัยจำนวนมากศึกษาถึงความแตกต่างของไอคิวระหว่างเด็กที่กินนมผงที่ใส่และไม่ใส่ดีเอชเอ ผลการวิจัยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน ประมาณร้อยละ 15 พบว่านมผงที่ใส่ดีเอชเอมีไอคิวแย่กว่า ซึ่งอาจเป็นเนื่องจากเป็นดีเอชเอที่สกัดจากปลาทะเลที่มีสารปรอทปนเปื้อน มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นมีพบว่านมผงที่ใส่ดีเอชเอช่วยให้ฉลาดกว่าไม่ใส่ แต่ผลการวิจัยยังเป็นที่สงสัย เนื่องจากเป็นการวิจัยที่จัดทำโดยบริษัทที่ผลิตนมผง
ดังนั้นในปัจจุบัน จากงานวิจัยที่เชื่อถือได้ (Cochrane library review) สรุปว่านมผงที่ใส่ดีเอชเอ ไม่ได้ช่วยให้เด็กฉลาดขึ้น เพราะถ้านมผงที่ใส่ดีเอชเอดีจริง ต้องมีการกำหนดให้นมทุกยี่ห้อใส่ตามเกณฑ์มาตรฐานเหมือนกับปริมาณวิตะมินชนิดต่างๆที่ต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนที่หลายยี่ห้อใส่ตามๆกัน นั่นเป็นเพราะกลไกทางการตลาด และต้องการเพิ่มมูลค่านมให้ราคาแพงขึ้นนั่นเอง
* รูปประกอบเป็นสไลด์หัวข้อบรรยายประโยชน์ของนมแม่ ในงานประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติ อ้างอิงข้อมูลจาก Pediatrics , February 27 , 2012