บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com/
ป้าหมอขอแชร์ประสบการณ์การดูแลเด็กที่มีปัญหาท้องเสียจากแพ้โปรตีนกลุ่มเสี่ยง ดังนี้ค่ะ
บางคนแสดงอาการเร็วตั้งแต่เดือนแรก บางคนมาช้ากว่านั้น แต่ส่วนใหญ่ก่อน 6 เดือน ขึ้นกับว่าถูกกระตุ้นมามากน้อยเพียงใด มีพันธุกรรมภูมิแพ้ในครอบครัวไหม ถ้ามีพันธุกรรม แม่กินโปรตีนกลุ่มเสี่ยงมามากขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร ก็จะแสดงอาการได้เร็วและรุนแรง
อาการมักมาด้วยเรื่องน้ำหนักขึ้นน้อย น้ำหนักลด ตัวเหี่ยวๆ ทั้งๆที่กินนมเก่งมาก ขอดูดนมตลอดเวลา เลี้ยงยาก ร้องกวนเนื่องจากปวดท้องมวนท้อง คุณแม่มีปริมาณน้ำนมเพียงพอแต่ลูกน้ำหนักไม่ขึ้น ปกติแล้วถ้าเด็กได้นมเพียงพอ จะอึ 2-3 ครั้ง/วัน กรณีนี้ที่เป็นโรคนี้ เราจะเห็นว่าลูกกินเก่งและอึบ่อยมาก แต่น้ำหนักไม่ขึ้น แสดงว่า อึนั้นมีปัญหาอะไรบางอย่าง แต่ก็มีบางรายที่เป็นโรคนี้ เพราะเห็นถ่ายเป็นมูกเลือด ตรวจอึเจอเม็ดเลือดขาวและผลเพาะเชื้อไม่ขึ้น แต่น้ำหนักขึ้นได้ตามเกณฑ์ปกติ นั่นแสดงว่า น้ำนมคุณแม่อาจมีเหลือเฟือ ทั้งๆที่ลำไส้ดูดซึมไม่ปกติ ก็ยังทำให้น้ำหนักขึ้นได้ตามเกณฑ์
โดยทั่วไปถ้าอึบ่อย แต่น้ำหนักไม่ขึ้น เป็นได้จาก 1 ใน 2 ประเด็น คือ
1.กินนมส่วนต้นซึ่งมีแล็คโต๊สมาก กินไม่ถึงส่วนท้าย ตรวจอึจะไม่เจอเม็ดเลือดขาว วิธีแก้ไข คือ ให้ปั๊มส่วนต้นเก็บ 5-10 นาที ให้กินส่วนท้ายซึ่งข้นกว่า ต้องกินให้เกลี้ยงเต้าแล้วค่อยย้ายข้าง อันนี้ไม่เกี่ยวกับแพ้อาหาร เพราะคุมอาหารอย่างไรก็ไม่หาย
แต่ป้าหมอจะแนะนำทุกคนไม่ให้กินนมวัวผลิตภัณฑ์นมวัวอยู่แล้ว บางคนมีนมใสค่อนข้างมาก จะแนะนำให้คุณแม่กินอโวคาโดวันละ 1 ผล เมล็ดฟักทอง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดแฟล็กซ์ วันละ 2 ชต. จะช่วยเพิ่มไขมันตัวดีคือโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของดีเอชเอ และ ทำให้นมส่วนข้นมีมากขึ้น การให้ลูกดูดบ่อยๆและปั๊มนมออกบ่อยๆ ไม่ให้นมค้างเต้านาน จะช่วยให้นมส่วนข้นมีมากขึ้น
อย่างไรก็ดีมีเด็กบางคนที่มีภาวะพร่องเอ็นไซม์แล็คเต๊สแต่กำเนิดมากน้อยแตกต่างกัน (lactase deficiency) ทำให้มีปัญหาถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย ถ่ายเป็นฟอง ถ่ายเป็นเมือก สีเหลืองหรือสีเขียว แต่ตรวจอึไม่เจอเซลเม็ดเลือดขาว พอเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีแล็คโต๊ส เช่น นมถั่วเหลือง หรือ นมสูตรท้องเสีย (lactose free formula) ก็ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้นมสูตรโปรตีนดัดแปลงเหมือนกับกรณีแพ้อาหารกลุ่มเสี่ยง ถ้าเป็นเมืองนอกจะมีเอ็นไซม์แล็คเต็สขาย อาจสั่งซื้อทางเน็ท ชื่อ LACTAID (Lactase enzyme drops)
แต่ถ้าไม่มียาตัวนี้ใช้ ในกรณีที่กินนมแม่ ไม่ต้องหยุดนมแม่เพื่อเปลี่ยนไปกินนมสูตรไม่มีน้ำตาลแล็คโต๊ส เพราะลูกจะเสียประโยชน์จากการไม่ได้กินนมแม่อย่างมากมาย กรณีนี้คุณแม่ก็ไม่ต้องคุมอาหาร ให้กินนมแม่ต่อได้ แต่พยายามอย่าให้กินนมมากเกินไป ให้กินแค่พอดีพอโต และ ให้ปั๊มนมส่วนใสออกไปก่อนให้มากที่สุด ถ้านน.ยังขึ้นดีอยู่ ถึงแม้ว่าจะถ่ายบ่อยก็ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อยหลัง 6 เดือน ลูกเริ่มกินข้าวแล้ว อาการก็จะดีขึ้น
2.แพ้โปรตีนกลุ่มเสี่ยง เช่น นมวัว นมถั่วเหลือง แป้งสาลี ไข่ ซีฟู้ด ผลไม้รสเปรี้ยว ถั่วเปลือกแข็ง ผักผลไม้สีๆ ฯลฯ ลักษณะอึมีหลากหลาย เช่น เป็นน้ำ เป็นฟอง เป็นเมือก เป็นมูกเขียว มูกเหลือง มูกเลือด มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นก็ได้ ดังนั้นการดูอึด้วยตาเปล่า หรือ ดูจากรูปแล้วบอกว่า อึปกติหรือไม่นั้น เป็นการเดาล้วนๆ เพราะป้าหมอเคยเจออึที่หน้าตาปกติเหมือนอึเด็กนมแม่ เพียงแต่ว่า ถ่ายหลายครั้งกว่าปกติ ก็เลยลองส่งตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ดู พบว่ามีเม็ดเลือดขาวเพียบ และก็เคยเจอกรณีดูแล้วเป็นมูกชัดเจน แต่ถ่ายแค่ 1-2 ครั้ง/วัน เอาไปตรวจก็ไม่เจอเม็ดเลือดขาว ก็แสดงว่าปกติ หลังจากนั้นป้าหมอไม่เคยเดาจากการดูเลยค่ะ ถ้าสงสัยให้ส่งตรวจอึดีที่สุด จำนวนครั้งของอึอาจพอบอกได้ เช่น ถ้าอึวันละ 1-2 ครั้ง หรือ ไม่อึทุกวัน อันนั้นน่าจะปกติ เพราะตอนที่อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ถ่ายลดลงแล้ว เริ่มเอาอาหารกลับมาลองทีละอย่าง ให้สังเกตอาการจากจำนวนครั้งของอึแทน ไม่ต้องนำอึมาตรวจทุกครั้งที่เจอมูกค่ะ แต่ถ้าถ่ายหลายๆครั้ง ให้สงสัยไว้ก่อนค่ะว่าอาหารนั้นไม่ผ่าน ให้งดอาหารนั้นต่อไป
หากเป็นการตรวจอึครั้งแรกแล้วเจอเม็ดเลือดขาว ป้าหมอจะส่งเพาะเชื้อไว้ด้วยเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเม็ดเลือดขาวนั้นเป็นจากการติดเชื้อ หรือ แพ้อาหารกันแน่ ผลเพาะเชื้อใช้เวลา 3 วัน ถ้าอาการเด็กดูไม่เหมือนติดเชื้อ เช่น ไม่ไข้ ไม่ซึม มีประวัติชัดเจนว่า เลี้ยงดูสะอาดอย่างดี ไม่มีใครเอาอาหารอื่นที่ไม่ใช่นมแม่ให้กิน ไม่มีประวัติน้ำอาบน้ำหรือเอาของสกปรกเข้าปาก ป้าหมอก็ยังไม่ได้ให้ยาฆ่าเชื้อ แต่ให้แม่สังเกตอาการถ้าดูซึมลง ค่อยให้ยาฆ่าเชื้อ หรือ ผลเพาะเชื้อกลับมาขึ้นเชื้อ ค่อยให้ยาฆ่าเชื้อ ประสบการณ์ 10 คนที่ส่งเพาะเชื้อ เจอติดเชื้อจริงแค่ 1 คน เป็นเชื้อที่มาจากน้ำ อาจกระเด็นเข้าปากตอนอาบน้ำ แต่ถ้ากลุ่มคนไข้ไม่ใช่เป็นโรงพยาบาลเอกชนแบบป้าหมอ ผลเพาะเชื้ออาจเจอปัญหาติดเชื้อมากกว่านี้ เจอปัญหาแพ้โปรตีนกลุ่มเสี่ยงน้อยกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มประชากรที่เก็บข้อมูลด้วยนะคะ
ที่เหลือ 9 ใน 10 คน พบว่าผลเพาะเชื้อไม่ขึ้นเชื้อ แสดงว่าเป็นการแพ้อาหารที่ผ่านทางนมแม่ การรักษา คือ การให้คุณแม่คุมอาหาร และ ให้ยา Bioflor 1 ซอง เช้า/เย็น จนกว่าจะถ่ายปกติ ไม่ให้ในคนที่แพ้ยีสต์ เช่น กินแล้วอาเจียน ส่วน infloran ป้าหมอไม่แนะนำ เพราะมีนมวัวเป็นส่วนผสม
การคุมอาหารของแม่ มีหลายระดับ ขึ้นกับความรุนแรง เช่น เจอเม็ดเลือดขาวมากน้อยเพียงใด ถ่ายบ่อยไหม มีอาเจียนร่วมด้วยไหม น้ำหนักลูกลดลงมากน้อยเพียงใด มีอาการแพ้ระบบอื่นร่วมด้วยมากน้อยเพียงใด เช่น มีผื่นคันผิวหนังอักเสบน้ำเหลืองเยิ้มร่วมด้วยไหม มีปัญหาระบบทางเดินหายใจครืดคราดหายใจลำบากไหม เลี้ยงยากร้องกวนงอแงวางไม่ได้เลยหรือไม่
**ถ้าอาการเป็นเยอะ ให้งดแบบเข้มสุดๆ ดังตัวอย่างของคุณแม่โบ ป้าหมอขอแชร์มาจาก”แฟนเพจชมรมรักเด็กขี้แพ้” ดังนี้
แม่โบ - ขอเคลียร์ชีวิตของแม่ๆ กับประเด็น "งดเข้ม" กันซักหน่อยนะคะ
คำว่า "งดเข้ม" คือการจำกัดอาหารให้เหลือส่วนผสมแปลกปลอมน้อยที่สุด
เช่น ข้าวเสาไห้เท่านั้น ข้าวกล้อง หรือ ข้าวหอมมะลิไม่ได้ค่ะ
ไก่หรือหมูทอดใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลืองไม่ได้ค่ะ
ปรุงรสได้แค่ เกลือ น้ำตาล เท่านั้น ซี่อิ๊วน้ำปลาซ้อสหอยนางรมไม่ได้ค่ะ
ผักได้แค่ ผักกาดขาว ผลไม้ได้แค่ ฝรั่ง สาลี่ มันแกว
โบใช้เวลาในการ "งดเข้ม" 2 สัปดาห์เท่านั้น เพราะงดจริงจัง ไม่กินอาหารนอกบ้าน หลังจากนั้น เมื่ออึลูกกลับมาเป็นปกติ หรือ ผื่นหายไปแล้ว โบก็เริ่มกินทีละอย่าง อย่างละ 2 สัปดาห์ จะกินอะไรก็ประมวลความคิดเอาเอง เช่น สงสัยว่าลูกน่าจะแพ้อะไรน้อยที่สุด ให้เอาสิ่งนั้นกลับมาก่อน เช่น ลองผักสีขาวสีเขียวให้ครบก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มทีละอย่าง ใจเย็นๆ อย่ารีบ อันไหนผ่านก็คือผ่าน อันไหนไม่ผ่านก็จดไว้ 3-6 เดือนค่อยกลับมาลองใหม่ ช่วงนี้ให้กินวิตะมินรวม ธาตุเหล็ก แคลเซียม เหมือนตอนตั้งครรภ์ เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหารจำเป็น
การลองทีละอย่าง ไม่ใช่ลองทีละเมนู ขอให้เข้าใจซะใหม่ เช่น เมนูผัดผักรวม ในนั้นมี น้ำมัน ผัก หมู ผงปรุงรส ซอสซีอิ้ว น้ำซุป ลองแบบนี้ไม่ได้ เพราะจะแปลผลไม่รู้เรื่อง
แม่โบเพิ่มเติมว่า - ถ้ายังจำกัดสิ่งที่กินไม่ได้ งดเข้มไม่เป็น อย่าคร่ำครวญว่าลูกแพ้อะไร ในเมื่อตัวคุณก็ไม่รู้ หมอหรือคนอื่นย่อมงงมากกว่าคุณเป็นแน่แท้ ส่วนตัวโบเอง หลังจากงดเข้มจนลูกดีขึ้นแล้ว ตอนนี้โบกินอาหารนอกบ้านที่ใส่ซอสซีอิ้วได้แล้ว ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ แต่ยังไม่อยากกินไข่ ไม่กินแป้งสาลี บะหมี่ เบเกอรี่ สปาเกตตี้ พิซซ่า ฯลฯ ทั้งๆที่โบเคยลองกินกลุ่มเสี่ยงพวกนี้แล้ว ลูกก็ไม่แพ้ผ่านนมแม่แล้ว แต่โบยังเลือกที่จะงดไข่และแป้งสาลีเพื่อที่จะให้นมแม่ต่อไปได้อย่างสบายใจ เวลาที่หยุดกินของพวกนี้ไปนานๆ แล้วได้กลับมากินใหม่ มันก็งั้นๆ ไม่ได้อร่อยอะไรนักหนา รวมถึงอาหารปรุงรสมากมาย ถ้าเคยชินแล้ว กินแบบไม่ปรุงแต่งก็รู้สึกอร่อยได้ โบอยากให้นมแม่นานๆเพื่อช่วยเสริมภูมิให้ลูก รอวันที่จะได้กินพร้อมกันกับลูกคงจะอร่อยกว่า
"พ่อแม่ทุกคน รักลูกเหมือนกัน แต่ความทุ่มเทต่างกัน บางคนอาจคิดว่า โบเยอะไปหรือเปล่า แต่โบเต็มใจทำเพื่อลูก" แร๊งงงง&ชัดเจนนะจ๊ะ^^
แม่นกเล็ก - พอทำแล้วเห็นผลที่คุ้มค่าหายเหนื่อยเลยค่ะ ถามว่าทรมานไหมกับการงดเข้ม แรกๆทรมานเพราะไม่รู้จะเริ่มอย่างไร แต่พอเริ่มเข้าใจก็ง่ายขึ้นและติดเป็นนิสัยว่าของที่เรากินมีอะไรเป็นส่วนผสม อ่านฉลากอาหารที่เรากินทุกอย่าง จากที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะอ่าน บางทีซื้อของใกล้หมดอายุก็มี พอทำได้ เวลาผ่านไปแล้ว ได้หันกลับมามอง จะบอกกับตัวเองเลยหล่ะค่ะว่า"แค่นี้เอง" สู้สู้นะคะ
เป็นการงดเข้ม เพื่อล้าง เพื่อเคลียร์โปรตีนที่แพ้ออกจากตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อนการเริ่มเมนูใหม่ๆ ช่วงนี้อย่าเอานมสต๊อกมาใช้ เพราะอาจมีโปรตีนกลุ่มเสี่ยง จะทำให้แปลผลไม่ได้ แต่ถ้าลูกเริ่มดีขึ้น และอายุลูกเกิน 6-12 เดือน อาจลองเอานมสต๊อกที่มีโปรตีนที่แพ้กลับมาลองใช้ได้ทีละนิด แล้วสังเกตอาการ อาจเอานมสต๊อกกลับมากินได้โดยไม่แพ้ เพราะเยื่อบุลำไส้เด็กเริ่มแข็งแรงขึ้นแล้ว
แต่ถ้างดเข้ม 2 สัปดาห์แล้ว ยังถ่ายผิดปกติอยู่ ยังเจอเม็ดเลือดขาวอยู่ ให้กินนมผง neocate หรือ nutramigen AA สลับกับนมแม่
แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น จึงจะพิจารณากินนมผงอย่างเดียวจนกว่าจะดีขึ้น เป็นการรอเวลาให้โปรตีนแปลกปลอมค่อยๆลดปริมาณลงไปจากร่างกายแม่ เมื่อถ่ายดีขึ้นแล้วจึงเริ่มค่อยๆกลับมาให้กินนมแม่ต่อเหมือนเดิม
**ถ้าเป็นไม่มาก อาจงดโปรตีนกลุ่มเสี่ยงทีละตัวสองตัว แล้วสังเกตอาการ เช่น
ขั้นที่ 1 - งดนมวัว ผลิตภัณฑ์นมวัว
ขั้นที่ 2 - งด top 5 คือ นมวัว นมถั่วเหลือง ไข่ แป้งสาลี ซีฟู้ด ยังกินซ้อสปรุงรส ผัก และ ผลไม้ ได้
ขั้นที่ 3 - งด top 8 คือ top 5 เพิ่มงดปลาน้ำจืด ถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้รสเปรี้ยว แต่กินซ้อสปรุงรสได้
บางคนสงสัยว่า ถ้าแม่งดเข้ม นมแม่ยังมีประโยชน์มากกว่านมผงสูตรพิเศษไหม มีประโยชน์กว่าแน่นอนค่ะ เพราะ ในนมผงมีแค่สารที่ทำให้เด็กโตได้ แต่ในนมแม่มีสารต้านเซลมะเร็ง สารดีเอชเอของจริงช่วยสร้างปลอกหุ้มเส้นใยสมอง สารต้านทานการติดเชื้อ สารต้านทานโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ฯลฯ ยังไม่รวมถึงฮอร์โมนที่หลั่งออกมาเพราะความสุขที่ได้จากการดูดเต้า