
กินนมผงก็ไม่เห็นเป็นไร จริงหรือ? ใครที่ให้นมแม่อยู่ดีๆ อย่าเปลี่ยนไปใช้นมผงตามคำแนะนำผิดๆจากผู้ไม่รู้นะคะ เพราะว่านมแม่ "ปลอดภัย" กว่าค่ะ ใครที่นมแม่เริ่มน้อยลง กำลังกู้น้ำนมแม่ ขอให้ทำต่อไป เพราะผลที่ได้คุ้มค่าจริงๆค่ะ
แต่ถ้าใครไม่มีนมแม่ จำเป็นต้องใช้นมผง ก็ต้องใช้กันต่อไปค่ะ (แต่ลดความเสี่ยงเรื่องติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจปนเปื้อนโดยการใช้น้ำร้อนชงให้ละลาย แล้วผสมน้ำเย็นให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ อย่าเชื่อคำแนะนำของบริษัทนมผงที่ว่าให้ชงด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง เพราะบริษัทไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยสูงสุดในเรื่องการติดเชื้อ แต่คำนึงถึงแต่ความสะดวกของผลิตภัณฑ์ และไม่ต้องกังวลเรื่องวิตะมินจะลดลงจากน้ำร้อน จะลดลงเพียงเล็กน้อย แบบไม่มีนัยสำคัญค่ะ) อย่ากลัวนมผงจนเปลี่ยนไปใช้น้ำข้าว นมข้นหวาน หรือ ป้อนกล้วยก่อนเวลาอันควรนะคะ อันนั้นอันตรายกว่าเยอะค่ะ และหากมีลูกคนต่อไป อยากให้นมแม่สำเร็จ ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ คือ คลินิคนมแม่ค่ะ
เนื้อหาต่อไปนี้ ป้าหมอขอแชร์มาจากคุณเบญซึ่งได้กรุณาแปลมาจากหนังสือ Dr.Jack Newman’s Guide to Breastfeeding 2014 ผู้เขียนคือ Dr.Jack Newman และ Teresa Pitman
"ลูกของฉันกินนมผง ก็ไม่เห็นเป็นอะไร"
เป็นความจริงที่ว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมผงส่วนใหญ่ยังรอดชีวิต และ เจริญเติบโตได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นไม่สำคัญ
หนึ่งในหลายๆเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายของนมผง และ ไม่เห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เพราะว่า เมื่อทารกหรือเด็กเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ไม่มีการนึกไปถึง “ได้ให้ทารกหรือเด็กกินนมอะไร”
ยกตัวอย่างเช่น เด็ก 75-83 % จะมีการติดเชื้อในช่องหูอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วง 3 ขวบปีแรก และมีเด็กอยู่จำนวน 46 % จะติดเชื้อแบบเป็นๆหายๆอยู่ 3 ครั้งหรือมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป แพทย์อาจมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะมีการติดเชื้อในช่องหู แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่มีการติดเชื้อในหูชั้นกลาง “น้อยกว่า” เด็กที่เลี้ยงด้วยนมผงหลายเท่า
การติดเชื้อในช่องหูเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งความทรมาน และอาจส่งผลกระทบในระยะยาวแก่เด็กได้ แต่ว่าผู้ปกครองมักมองว่าเด็กที่มีการติดเชื้อในช่องหูซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้น “ไม่เห็นเป็นอะไร” และถึงแม้ว่าผู้ปกครองบางคนอาจจะมองว่าเป็นปัญหา แต่ก็ไม่มีใครนึกไปถึงสาเหตุว่าเกิดจาก “นมที่ให้ลูกกิน”
นมผงในอดีตที่คนปัจจุบันอายุ 30-60 ปีเคยกินตอนเป็นทารกนั้น “ต่างจาก” นมผงในปัจจุบัน สมัยที่ผม (Dr.Jack Newman) เป็นนักศึกษาแพทย์อยู่นั้น นมผงเริ่มเข้ามาจำหน่ายแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ยังผลิตนมผงเอง โดยผสมนมวัวเข้ากับน้ำและน้ำเชื่อมข้าวโพด แม้ว่าผู้ใหญ่ทั้งหลายที่โตมาด้วยนมผงโฮมเมดลักษณะนี้ส่วนใหญ่อาจจะบอกว่า “พวกเค้าก็สบายดี” แต่ในความเป็นจริง พวกเค้าอาจจะมีปัญหาเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว เช่น น้ำหนักเกิน, โรคหัวใจ, โรคภูมิแพ้, ความดันโลหิตสูง, และ อาการอื่นๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับชนิดของนมที่พวกเค้ากินในวัยทารก
นมผงถูก “ปรับปรุงสูตร” ทุก 2-3 ปี การเปลี่ยนแปลงล่าสุด คือ การผสม DHA และ ARA ลงไปในนมผง โดยบอกว่าทารกจะเฉลียวฉลาดและมีการมองเห็นที่ดีขึ้น เป็นจริงเช่นนั้นหรือ? เราไม่ทราบ
การศึกษาวิจัยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากบริษัทนมผงบอกว่า “ไม่จริง” แต่การศึกษาวิจัยที่สนับสนุนทุนวิจัยโดยบริษัทนมบอกในสิ่งที่แตกต่าง
อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทนมบอกว่านมผงสูตรใหม่ที่เติม DHA และ ARA มีผลจริง ๆ ทำให้ทารกฉลาดขึ้นและพัฒนาการมองเห็นที่ดีขึ้น แล้วนมผงสูตรก่อนหน้านี้ที่ไม่มี DHA และ ARA หล่ะ
นั่นหมายความว่า เด็กที่ทานนมผงสูตรที่ไม่มี DHA และ ARA ก่อนหน้านี้ไปแล้ว ไม่ฉลาด การมองเห็นไม่ดีเหมือนเด็กที่ทานนมผงสูตรใหม่ที่เติม DHA และ ARA ?
การปรับปรุงสูตรนมผงนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายปีที่ผ่านมา ในปี 1970s สารทอรีน (Taurine) ได้ถูกเติมลงไปในนมผง เพื่อช่วยทำให้การมองเห็นของเด็กดีขึ้น แล้วก่อนหน้าปี 1970s ที่เด็กยังไม่ได้รับสารทอรีนหล่ะ ?
ในปี 1990s สารนิวคลีโอไทด์ (nucleotide) ได้ถูกเติมลงไปในนมผง บริษัทนมโมเมว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แล้วเด็กที่กินนมผงก่อนหน้าปี 1990s หล่ะ? เด็กเหล่านั้นก็ไม่ได้สารรับนี้เช่นกัน
ดังนั้น สารต่างๆที่เติมลงไปเพิ่มเติมนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพเด็กจริงหรือ? ถ้าจริง…นั่นหมายความว่า สุขภาพของเด็กกว่าร้อยล้านคนที่ได้กินนมผงสูตรเก่ากว่านี้ตกอยู่ในอันตราย ?
เราทราบกันดีว่า นมผงนั้นยังขาดส่วนผสมสำคัญมากมายที่จะช่วยปกป้องและรักษาสุขภาพของทารก ต่อไปนมผงจะเติมสารอะไรอีกนมผงยังขาดอยู่?
สาร พรีไบโอติกส์ (prebiotics) ซึ่งแน่นอนว่าสารนี้อยู่ในนมแม่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ปัจจุบันการศึกษาวิจัยพบว่า นมผงที่เติมพรีไบโอติก ไม่สามารถปกป้องเด็กจากภูมิแพ้ตามที่บริษัทนมกล่าวอ้าง
นมผงมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า formula คำว่า formula นอกจากแปลว่านมผงแล้ว ยังแปลว่า “สูตร” การตั้งชื่อเรียกแบบนี้ ทำให้ดูมีความหนักแน่นเป็นวิทยาศาสตร์ม๊าก...มาก ชวนให้คนคิดมโนว่า คงคิดค้นมาเป็นอย่างดีอุดมไปด้วยความพิเศษ แต่ความเป็นจริงแล้ว นมผง เป็นเพียงแค่ “นมวัวที่ผ่านกระบวนการแปรสภาพ” ผสมกับส่วนผสมอื่นๆ
เฉกเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทั่วไป ที่ “ความผิดพลาด” ย่อมเกิดขึ้นได้ในระหว่างกระบวนการตระเตรียม หรือ กระบวนการผลิตนมผง
บริษัทนมผง มีการเรียกคืนสินค้าจากชั้นวางขายอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น ส่วนผสมสำคัญได้ขาดหายไป ผสมไม่ครบตามสูตร, ฉลากไม่ถูกต้อง, มีการพบแบคทีเรียเจือปน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ “นมผง” เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้ มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นอาหารสำหรับทารก ถ้าส่วนผสมสำคัญได้ขาดหายไป ผสมไม่ครบตามสูตร มหันตภัยจะเกิดขึ้นกับทารกที่กินนมกระป๋องนี้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้านมผสมล็อตหนึ่ง ขาด “คลอไรด์” ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของนมผง ทารกที่โชคร้ายนี้จะทุกข์ทรมานกับการที่สมองถูกทำลาย (brain damage) และ พัฒนาการช้าอย่างถาวร
นอกจากนี้นมผงที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้ทารกเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด
จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า ในนมผงหลายยี่ห้อ บางกระป๋องมีการผสมวิตะมินดีมากกว่าที่ระบุไว้ที่ฉลากข้างกระป๋องถึง 4 เท่า วิตามินดีที่มากเกินไป จะส่งผลเป็นพิษต่อทารก
ในปี 2003 ที่ประเทศอิสราเอล ทารก 3 ราย เสียชีวิต และ 10 ราย ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยสาเหตุจากนมผงที่ทารกรับประทานมีปริมาณวิตามินบี 1 ที่ไม่เพียงพอ
ในปี 2008 ที่ประเทศจีน ทารก 54,000 ราย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ มีจำนวนหนึ่งเสียชีวิต ทารก 300,000 ราย ต้องเจ็บป่วย ซึ่งเกิดจากการดื่มนมผงที่มีการปนเปื้อนเมลามีน
ดังนั้น ผู้ปกครองที่ตัดสินใจใช้นมผง จำเป็นต้องทำใจว่า นมที่มาตามสายพานการผลิตนั้นย่อมมีความผิดพลาด และ มีปัญหาเกิดขึ้นได้ พวกเขาได้แต่หวังว่า ลูกของเขาคงไม่โชคร้ายได้รับนมผงที่มีปัญหา
ข้อมูลจาก: หนังสือ Dr.Jack Newman’s Guide to Breastfeeding 2014 หน้า 11-12 |
นมแม่ VS นมผสม