
ข้อขัดแย้งเรื่องการใช้ Domperidone สำหรับแม่ให้นม
บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com คุณแม่แฟนเพจหลายท่านแชร์โพสต์จากเพจ RDU มาถามป้าหมอ โดยมีความกังวลว่า ยาดอมเพอริโดนที่คุณแม่หลายท่านกินทุกวัน บางท่านกินมานานหลายเดือนแล้ว เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนมแม่ หากใช้ขนาดยาตามที่ Dr.Jack Newman ผู้เชี่ยวชาญนมแม่แห่งแคนาดา แนะนำ คือ 2 เม็ดวันละ 4 ครั้ง หรือ 3 เม็ดวันละ 3 ครั้ง ซึ่งเป็นขนาดยาที่งานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าได้ผลในการเพิ่มปริมาณน้ำนม ก็จะขัดกับคำแนะนำที่ EMA เตือน คือ
ในขณะที่ยังไม่มีข้อสรุปจากผู้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องกฏเกณฑ์การใช้ยาในประเทศไทย คุณเบญได้กรุณาเรียนถาม Dr.Jack Newman ไปว่า เพราะเหตุใด ทาง EMA จึงออกคำแนะนำมาเช่นนี้ เป็นเพราะมีเคสเสียชีวิตจากการใช้ยาตัวนี้เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมจริงหรือ Dr.Jack ได้กรุณาตอบมาว่า ไม่มีเคสดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด งานวิจัยที่ EMA นำมาอ้างอิงเพื่อออกคำแนะนำดังกล่าว ก็ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับกลุ่มคุณแม่ที่กินยาตัวนี้เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมได้เลย เพราะล้วนแต่เป็นคุณแม่ที่อายุน้อย ไม่มีโรคหัวใจ เคสที่เสียชีวิตล้วนแต่เป็นคนแก่ที่มีโรคประจำตัวทั้งนั้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ส่วนในกลุ่มอายุน้อย พบว่าผู้หญิงมีปัญหาน้อยกว่าผู้ชายด้วยซ้ำไป สรุปว่า ไม่มีเหตุผลที่สมควร ที่ EMA จะแบนการใช้ยาดอมเพอริโดนในผู้ป่วยทั่วไปอายุน้อยกว่า 60 ปีที่ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีการใช้ยาอื่นที่มีผลกับการดูดซึมของยาดอมเพอริโดน รวมถึงการที่เตือนเรื่องโด๊สยาขนาดสูง ก็ไม่มีหลักฐานที่แข็งแรงพอ เพราะจำนวนเคสน้อยมาก (ในจำนวนที่เสียชีวิต 1304 คน มีประวัติกำลังกินยาตัวนี้อยู่เพียง 10 คน โดยมี 4 คนที่กินโด๊สสูงกว่า 30 มก./วัน) จึงเอามาสรุปไม่ได้ค่ะว่า การกินยาขนาดสูงมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้สูงอายุเหล่านี้ ขอขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากคุณเบญ BenBen LoveKing ตอน USA ประกาศ เรื่อง FDA ไม่อนุญาตให้มีการขายยาดอมเพอริโดนใน USA จนทำให้วงการนมแม่ระส่ำระสายไปบ้าง เพราะคนจะรู้สึกว่า ยาดอมเป็นยาอันตรายจริงไหม ทำไม USA ถึงประกาศแบบนั้น ตอนนั้นป้าหมอเฉยๆนะคะ เพราะเค้าเอาเคสคนแก่ ที่มีโรคหัวใจมาฉีดยาดอมเพอริโดนเป็นข้ออ้าง ป้าหมออ่านเหตุผลที่ทางแคนาดายังอนุญาตให้ใช้ยาตัวนี้ได้ โดยทางฝ่าย Dr.Jack มีเหตุผลที่ดีมากกว่าเยอะค่ะ เมื่อเทียบ risk /benefit (ความเสี่ยง/ประโยชน์ที่ได้รับ) เพราะแม่ให้นมไม่มีใครอายุเกิน 60 ปี และส่วนใหญ่ก็ไม่มีโรคหัวใจ หรือความเสี่ยงอะไรที่ทำให้สมดุลเกลือแร่ผิดปกติ พูดถึงสมดุลเกลือแร่ผิดปกติ ไม่ควรใช้ยา แต่ก็แปลกนะคะ เวลาเป็นโรคทางลำไส้ เช่น อาหารเป็นพิษ ก็ต้องมีภาวะเสียสมดุลเกลือแร่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาในการใช้ยาแต่อย่างใด หรือ ถ้าอ้างว่าเพราะใช้ยาช่วงสั้นๆ ก็เลยไม่เป็นอะไร และเห็นด้วยกับ Dr.Jack และผู้เชี่ยวชาญเรื่องนมแม่ค่ะ ว่า Risk (ความเสี่ยง) ของแม่ลูกคู่หนึ่งที่ไม่ได้ให้นมลูกนั้น มากมายมหาศาลเกินกว่ากลุ่มคนที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้จะคาดถึง แต่ถ้ามีเคสดังกล่าวเกิดขึ้นจริงๆ เช่น หญิงสาวไม่มีโรคประจำตัว อายุน้อยกว่า 60 ปี เสียชีวิตจากการใช้ยาดอม แม้แต่เพียงเคสเดียวบนโลกนี้ ยาตัวนี้สมควรถูกระงับการใช้จริงๆค่ะ. รวมถึงการใช้ยาตัวนี้โดยไม่มีความจำเป็นจริงๆ เช่น มีน้ำนมเพียงพออยู่แล้ว แต่โลภมาก อยากมีมากกว่านี้อีก ก็เลยใช้ยา อันนี้ก็ไม่ควรใช้เช่นกันค่ะ ส่วนคำแนะนำที่ว่า ถ้าไม่ได้ใช้ยาดอม ก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย หันไปใช้ยาอื่นก็ได้ น่าจะปลอดภัยกว่า เช่น fenugreek ยาประสระน้ำนม เพราะเหตุผลคือ เป็นสมุนไพร อันนั้นไม่เห็นด้วยค่ะ เพราะคำว่าสมุนไพร หรือ คำว่าเพราะเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เป็นตัวรับรองว่า ไม่มีพิษ หรือ ไม่มีโทษ (ยกตัวอย่าง เห็ดพิษ) ยาพวกนี้ ไม่มีการศึกษา ไม่มีการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง ถ้าถามป้าหมอว่าปลอดภัยกว่ายาดอมไหม พูดได้เลยว่าคงไม่ แต่เพราะไม่มีการศึกษา เป็นการบอกต่อๆกันมา ไม่มีการเก็บข้อมูลผลข้างเคียง และติดตามอาการของผู้ใช้อย่างจริงจังและเป็นรูปแบบ และปัจจุบันมียาปลอมระบาดในอินเตอร์เน็ทด้วย อาจเอาอะไรใส่แคปซูลให้กินก็ไม่ทราบได้ ผู้ใช้ก็ต้องระมัดระวังและเสี่ยงกันเอาเอง สรุปอีกทีค่ะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าใช้ยาอะไรทั้งสิ้น เพราะยาทุกตัวมีความเสี่ยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้เพื่อเพิ่มน้ำนมจริงๆ ควรหาวิธีอื่นควบคู่กันไป เช่น การกินอาหารเพิ่มน้ำนม การให้ลูกดูดและปั๊มเพิ่มขึ้น และควรปรึกษาแพทย์ว่าตัวคุณแม่มีความเสี่ยงหรือมีข้อห้ามในการใช้ยาหรือไม่ เช่น อายุเกิน 60 ปี มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ มีการใช้ยาอื่นร่วมด้วย มีภาวะเสียสมดุลเกลือแร่อยู่หรือไม่ และที่สำคัญคือ คุณหมอและคุณแม่ต้องมีข้อมูลว่า การที่แม่ลูกคู่หนึ่งจะไม่ได้ให้นมแม่ มีความเสี่ยงในการเป็นโรค และขาดโอกาสอะไรไปบ้าง และอันตรายของนมวัวมีอะไรบ้าง เช่น เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน โรคเรื้อรังอีกหลายโรค เพียงแต่โรคพวกนี้ยังไม่ปรากฏตอนนี้ ก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการให้นมแม่เท่าที่ควร สุดท้ายแล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละท่านค่ะ" เมื่อมีผู้แย้งว่า RDU กล่าวว่า ยาดอมเพอริโดนเป็นยาที่ห้ามใช้ในแม่ให้นมลูก เพราะเอกสารกำกับยาเขียนไว้แบบนั้น ป้าหมอขอชี้แจงดังนี้ค่ะ “เรื่อง เอกสารกำกับยา หรือ leaflets โดยปฏิบัติแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนมแม่ทั่วโลก ไม่ใคร่ยึดถือ เพราะว่า เขามี reference หรือ แหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้มากกว่า เพราะมีการศึกษาอย่างแท้จริงตั้งแต่วัดระดับยาในเลือดแม่ ในเลือดลูก ระดับยาในน้ำนม ศึกษาถึง การจับตัวของยากับโปรตีน ขนาดของโมเลกุลยา ฯลฯ แล้วจึงสรุปมาเป็น reference สำหรับผู้เกี่ยวข้องกับการให้นมแม่ไว้ใช้อ้างอิง และพบได้บ่อยมาก ที่คำแนะนำในเอกสารกำกับยา จะไม่ตรงกับ breastfeeding reference ซึ่งป้าหมอเข้าใจว่า เอกสารกำกับยาต้องห้ามไว้ก่อน เพราะบางครั้งคนไข้ซื้อยากินเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ก็จะไม่รู้ว่าต้องระวังอะไรบ้างเป็นพิเศษ เพราะบ้านเราคนไข้ซื้อยากินเองได้ บริษัทยาเขาก็ต้องป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่” ขออนุญาตยกตัวอย่าง ยา Norfloxacin ซึ่งในเอกสารกำกับยา จะเขียนว่า breast-feeding is not recommended while taking this medicine Before you take Norfloxacin you should discuss breast-feeding with your doctor or midwife. If you wish to breast-feed you should discuss with your prescriber whether there are any other medicines you could take which would also allow you to breast-feed. You should not stop this medicine without taking advice from your doctor. แต่ถ้าเช็คจาก 2 แหล่งเช็คเรื่องยาในแม่ให้นมลูก กล่าวว่า 1. จาก http://toxnet.nlm.nih.gov/cgi-bin/sis/search Summary of Use during Lactation: Fluoroquinolones such as norfloxacin have traditionally not been used in infants because of concern about adverse effects on the infants' developing joints. However, recent studies indicate little risk.[1][2] In addition, the calcium in milk might prevent absorption of the small amounts of fluoroquinolones in milk,[3] but insufficient data exist to prove or disprove this assertion. The serum and milk levels and oral bioavailability of norfloxacin are the lowest of any of the fluoroquniolones, so the risk to the infant should be minimal. Short-term use of norfloxacin is acceptable in nursing mothers. 2.จาก http://e-lactancia.org/search?q=Norfloxacin level 0 : very low risk,compatible and not risky for breastfeeding or infant ป้าหมอชอบเว็บ 2. คือ เว็บ e-lactancia.org เพราะง่ายต่อความเข้าใจดีค่ะ และไหนๆแล้ว มีคนสนใจเรื่องนี้มาก มีการแชร์ไปทั่ว และมีคนถามมาที่แฟนเพจป้าหมอ แฟนเพจนมแม่แฮปปี้ แฟนเพจมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย รวมถึงโทรสายตรงไปที่คลินิคนมแม่ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ป้าหมอก็ขออนุญาต ฝากประชาสัมพันธ์ ให้ทุกท่านที่สนใจเรื่อง การใช้ยาในคุณแม่ให้นมลูก ได้ทราบว่า วิธีตรวจสอบเรื่อง การใช้ยาขณะให้นมลูกที่ถูกต้อง สามารถตรวจสอบได้จาก 2 เว็บดังกล่าวข้างต้นได้เลยค่ะ ยาดอมเช็คจาก 2 เว็บนี้ เป็นยาที่ปลอดภัยในการให้นมลูกแน่นอนค่ะ ขออนุญาตให้ความคิดเห็นว่า คำเตือนเรื่องการใช้ยาในคุณแม่ให้นมลูกในเอกสารกำกับยา เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของบริษัทยา มากกว่า ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ สำหรับคุณแม่ให้นมลูกค่ะ อย่างไรก็ดี มีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้แน่นอนให้ทุกท่านตรวจสอบได้ไม่ยากค่ะ เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ทเท่านั้น และขอยืนยันเหมือนเดิมค่ะ ว่ายามีประโยชน์ก็ไม่น้อย แต่ยาทุกอย่างมีผลข้างเคียงแฝงอยู่เสมอ ดังนั้น อย่าใช้ยาพร่ำเพรื่อถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ และ ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีเพิ่มน้ำนมด้วยวิธีการอื่นๆที่ถูกต้องเหมาะสม ก่อนที่จะใช้ยาโดยไม่มีความจำเป็น และอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพราะผู้ใช้ยาอาจไม่ทราบว่าตัวเองมีโรคประจำตัวอะไรซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ และป้าหมอขอขอบคุณแอดมินที่ให้ข้อมูลให้ป้าหมอฟังแล้วสบายใจขึ้น เพราะตอนแรกคิดว่า ที่ EMA ออกมตินี้มา เป็นเพราะมีเคสมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วหรือนี่ เพราะข้อมูลเรื่องยามันเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆตลอดเวลา ยกตัวอย่าง ยา PPA ใช้มาหลายสิบปีผสมในยาแก้หวัดหลายสูตร ก็เพิ่งถูกถอนออกไป เพราะเพิ่มความเสี่ยงในการมีเลือดออกในสมอง แต่คุณแอดมินบอกว่า เป็นการลงมติจาก EMA แบบไม่เป็นเอกฉันท์ ใช้วิธีโหวตเสียงข้างมาก สำหรับการออกมติครั้งนี้ ซึ่งคนที่โหวตไม่ให้ผ่าน น่าจะตั้งอยู่บนความคิดพื้นฐานว่า อะไรที่เสี่ยงแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่ายังไม่มีคนที่เสียชีวิตจากการกินยาดอมเพอริโดน ก็อย่าไปยุ่งกับมันเลยจะดีกว่าไหม ไม่อยากให้มีเคสเกิดขึ้นจริงแล้วค่อยแก้ไข กลัวว่าจะสายเกินไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีคนที่โหวตให้ผ่าน (แต่แพ้คะแนนเสียง) น่าจะเป็นคนที่คิดว่า นมแม่เป็น Preventive medicine ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมากมายทั้งในแม่และลูก ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของทารกทั่วโลก มีงานวิจัยที่บอกว่ายาดอมสามารถใช้เพิ่มปริมาณน้ำนม และ มีผลข้างเคียงที่ต่ำ และ หากมีการใช้อยู่ภาย ใต้คำแนะนำจากแพทย์ ก็น่าจะปลอดภัย ก็เลยโหวตให้ผ่าน ทีนี้ก็ต้องมาลุ้นคณะกรรมการของเมืองไทยกันอีกทีค่ะ ว่าจะโหวตกันอย่างไร โอมเพี้ยง สุดท้ายนี้ คุณแม่ให้นมทุกท่านคะ อย่าซื้อยาดอมมากินเพื่อเพิ่มน้ำนมเองนะคะ แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการเพิ่มน้ำนมอย่างยั่งยืน ตามแนวทางที่ถูกต้อง และหากจำเป็นต้องใช้ยาจริงๆแล้ว ขอให้แพทย์เป็นผู้แนะนำ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของตัวเองและลูกน้อยค่ะ
|
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (154138) | |
ท้องผูก กินยาตัวไหนได้บ้างคะ พอดีให้นมลูกอยู่คะ ตอนนี้เพิ่งคลอดได้ 20 วันเองค่ะ ผ่าคลอดคะ และสามารถกินน้ำลูกพรุนรึป่าวคะ ถ่ายยากมากๆเลยคะ ทั้งๆที่ก็กินน้ำเยอะแล้ว | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ออย วันที่ตอบ 2014-08-24 10:17:24 IP : 1.10.217.103 |
[1] |