บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com
ป้าหมอขอขอบคุณ คุณแหม่มที่ช่วยแชร์ประสบการณ์ความสำเร็จในการทำให้ลูกที่ติดขวดไปแล้ว กลับมาดูดเต้าได้สำเร็จ เนื่องจากลูกมีปัญหาแพ้นมวัว แถมไม่ยอมกินนมผงถั่ว จึงทำให้คุณแม่ตระหนักว่า งานนี้ต้องนมแม่จากเต้าเท่านัน จึงจะไปได้รอด เพราะถ้าเป็นแม่นักปั๊ม อาจให้นมแม่ไม่ได้นาน งานนี้ต้องขอบคุณคุณหมอที่แจกนมผง โดยคุณหมออ้างว่า เพราะว่าลูกซีดเล็กน้อยหลังคลอดเนื่องจากกรุ๊ปเลือดแม่กับลูกไม่ตรงกัน ทั้งๆที่การแจกนมผงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเรื่องซีดแต่อย่างใด แต่ก็ทำให้คุณแหม่มทราบว่าลูกแพ้นมวัวได้เร็ว จึงกลับลำมาให้ดูดเต้าได้สำเร็จ

"แหม่มต้องขอกล่าวก่อนว่า มีความตั้งใจของคนเป็นแม่ที่อยากให้นมแม่กับลูกเพียงอย่างเดียว ไม่เสริมนมผง เพราะรู้ดีว่านมแม่นั้นดีต่อลูกมากมาย มีส่วนที่จะทำให้ลูกฉลาดและแข็งแรง จึงให้เค้ากินนมแม่อย่างเดียว
แต่แล้วก็มีอันต้องให้ลูกกินนมผง เพราะพบคุณหมอตามนัดหลังคลอด คุณหมอบอกว่าลูกซีดเล็กน้อย อาจเป็นเพราะกรุ๊ปเลือดแม่กับลูกไม่ตรงกัน จึงสั่งให้เสริมนมผงด้วย แว้บแรกในหัว คือ มันจะดีเหรอ ยังไม่ได้คิดไปไกลถึงผลเสียของนมวัวนะคะ แต่ด้วยที่คุณหมอสั่ง จะไม่เชื่อหมอแล้วจะเชื่อใครหล่ะ
ผ่านไป 1 สัปดาห์ สำหรับการกินนมผงเสริมนมแม่ ลูกเริ่มมีผื่นขึ้นหน้า แดงเป็นจ้ำๆ หายใจครืดคราด สำรอกนม มีอาการเหมือนเป็นหวัด ลืมบอกไปว่า แหม่มเป็นคุณแม่นักปั๊ม เพราะลูกดูดเต้าไม่ได้ หัวนมแตกกระจายเจ็บมาก นมที่ปั๊มได้ก็ไม่มากขนาดมีเก็บสต๊อก
แหม่มไม่ได้พาลูกกลับไปที่รพ.คลอด เพราะมีญาติแฟนเป็นคุณหมอเด็กอยู่อีกรพ.หนึ่ง คุณหมอตรวจแล้วบอกว่า ลูกแพ้นมวัว เอาแล้วสิ เราทำอะไรกับลูกไปเนี่ย เราผิดที่ยอมให้ลูกกินนมวัว หรือ หมอผิดที่สั่งให้เราเสริมนมวัว
คุณหมอท่านใหม่สั่งนมผงถั่วเหลืองมาแทน แต่ลูกไม่ยอมกินนมถั่วเหลืองค่ะ
เราจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กแพ้นมวัว จนมาเจอเพจของคุณหมอ มันเหมือนแสงสว่างเลยค่ะ แค่นั้นแหล่ะ นมอะไรไม่เอาแล้ว นมเรานี่แหล่ะดีสำหรับลูกที่สุด ไม่ฟังใครอีกแล้ว พยายามจับลูกเข้าเต้าใหม่ค่ะ เพราะลูกติดขวด เรายังเจ็บหัวนมอยู่ แผลยังไม่หาย แต่บอกตัวเองว่า ต้องทนเพื่อลูก และแล้วก็สำเร็จ ลูกดูดเต้าสำเร็จ แผลที่หัวนมก็เริ่มหาย สิ่งที่หวังก็เป็นผล อาการผิดปกติของลูกทุกอย่างหายหมด ลูกร่าเริงและแข็งแรงมากตอนนี้ ไม่เคยป่วยเป็นอะไรเลย ตอนนี้ 11 เดือนแล้ว อีกเดือนเดียวก็ขวบแล้ว ดีใจมากที่ทำเพื่อลูกได้สำเร็จ
มาถึงตอนนี้ก็มีมารเหมือนกันนะ บอกว่าเลิกได้แล้วนมแม่ ด้วยเหตุผลหลายประการของคนรอบข้าง แต่ไม่สนใจค่ะ ตั้งใจว่าจะทำเพื่อลูกต่อไป ใครจะว่ายังไงก็ไม่สน แคร์ลูกก่อนแคร์คนอื่นค่ะ
สุดท้าย ขอขอบคุณเพจของคุณหมอ และ คุณแม่ทุกท่านที่มาเล่าประสบการณ์นมแม่ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่แหม่มได้เล่ามา จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณแม่มือใหม่ที่กำลังประสบปัญหา หรือ ยังลังเลว่านมแม่ดีจริงหรอ หรือ กำลังท้อใจกับคนรอบข้างที่คอยบั่นทอนความเชื่อมั่น ขอจงมั่นใจในความรักของคุณที่มีต่อลูกค่ะ อย่าเชื่อคนอื่น เพราะคนอื่นไม่ได้มารับผิดชอบ ถ้าลูกเราเป็นอะไรไป"
เรื่องที่คุณแหม่มแชร์ให้พวกเราได้อ่านนี้ มีข้อคิดหลายเรื่อง ดังนี้ค่ะ
1.บุคลากรทางการแพทย์ไม่ควรเป็นเครื่องมือของบริษัทนมผง โดยการช่วยแจกนมตัวอย่าง เพราะเรื่องนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน การที่บริษัทนมผง นำนมผงตัวอย่างมาส่งให้กับบุคลากรท่านนั้น เขาย่อมมีสัญญาใจต่อกัน เพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น การเป็นสปอนเซอร์เวลามีงานประชุมในและต่างประเทศ การช่วยออกค่าใช้จ่ายในการตกแต่งห้องตรวจโรค หากเป็นกรณีที่จำเป็นต้องเสริมนมผงจริงๆ บุคลากรควรแนะนำให้คุณแม่ไปซื้อนมผงเอง ราคากระป๋องละ 2-3 ร้อยบาทที่แจกไป ไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับคุณแม่ท่านนั้นหรอกค่ะ ตรงกันข้าม คือ ส่วนใหญ่แล้วที่แจก ล้วนแต่ไม่มีข้อบ่งชี้อย่างแท้จริง กลับทำให้คุณแม่ท่านนั้น ต้องใช้นมผงชงเสริมให้ลูกโดยไม่จำเป็น กลายเป็นเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว ทั้งค่านม และ ค่ารักษาพยาบาลเวลาลูกเจ็บป่วย
2.จะมีใครโชคดีเหมือนคุณแหม่มบ้าง ที่โชคดีขั้นที่หนึ่ง คือ การได้ไปพบคุณหมออีกรพ.หนึ่ง แล้ววินิจฉัยโรคได้ว่า ลูกเป็นโรคแพ้นมวัว ไม่หลงทางไปมัวแต่รักษาโรคหวัดที่เป็นแล้วเป็นอีกตามอาการของโรค ทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้น และ โชคดีขั้นที่สอง คือ การที่ลูกของคุณแหม่มไม่ยอมกินนมผงถั่ว ทำให้คุณแหม่มตระหนักได้ว่า ต้องนมแม่เท่านั้นที่จะทำให้ลูกแข็งแรงได้ และ โชคดีขั้นที่สาม คือ การที่คุณแหม่มได้ความรู้เรื่อง การกู้น้ำนม การทำให้ลูกได้กลับมาดูดเต้าสำเร็จ จากเพจให้ความรู้ต่างๆ และ ประการสุดท้าย คือ ความมุ่งมั่นของคุณแหม่มที่สามารถทำได้จนสำเร็จ ทั้งๆที่ถูกต่อต้านจากคนรอบข้าง และ กระแสนมผง นมวัว แรงมากมาย ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่ยังรณรงค์ให้เด็กไทยกินนมวัวกันสะบั้นหั่นแหลกแบบนี้ ป้าหมอเชื่อว่า คงมีคนที่โชคดีแบบคุณแหม่มไม่มาก จึงเป็นที่น่าเสียใจที่เด็กไทยในยุคหน้า คงเป็นโรคภูมิแพ้ และ โรคเรื้อรังที่เกิดจากการกินนมผงกันเต็มบ้านเต็มเมือง (ผู้เกี่ยวข้องกับการรณรงค์คะ ควรเก็บข้อมูลด้านมืดของนมวัวบ้างนะคะ ไม่ใช่เอาแต่ข้อมูลเรื่องความสูง เรื่องนมวัวเป็นแหล่งของโปรตีน แคลเซียมมาอ้างในการรณรงค์ ทั้งๆที่สารอาหารเหล่านี้ หาได้จากอาหารแหล่งอื่นที่ปลอดภัยกว่าการกินนมวัว ช่วยเก็บข้อมูล โรคภัยไข้เจ็บที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มประชากรที่กินนมวัวเยอะ เปรียบเทียบกับกลุ่มประชากรที่กินนมวัวน้อยในประเทศไทยด้วยนะคะ เพราะคนไทยกับฝรั่ง อาจไม่เหมือนกัน ว่ามีโรคเหล่านี้ต่างกันไหม ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคลำไส้แปรปรวน โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันสูง โรคมะเร็ง โรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย โรคกระดูกพรุน โรคหอบหืด โรคหวัดเรื้อรัง ฯลฯ)
ปล. ได้ยินเรื่อง บุคลากรทางการแพทย์แจกตัวอย่างนมผงทีไร จิดใจขุ่นมัวทุกทีค่ะ ต้องบอกตัวเอง อุเบกขา ปลงๆบ้างค่ะ