พอให้นมแม่มาถึง 6 เดือน ก็จะมีผู้หวังดีมาบอกให้เลิกนมแม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ป้าหมอขอเรียกว่า "คนที่ถูกมารนมแม่เข้าสิง"

ยันต์ป้องกันมารนมแม่ฉบับนี้ คุณพ่อคุณแม่ปริ๊นท์ออกมา พกติดตัว เอาไว้ให้คนที่ถูกมารสิงอ่านได้เลยค่ะ มารจะได้ออกจากร่างคนถูกสิง
"ลูกสาวของดิฉันย่าง 8 เดือนแล้วค่ะ กําลังคิดจะให้แกดื่มนมผสม ก่อนหน้านี้ทานนมแม่อย่างเดียวค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าคุณสมบัติสําคัญหลักๆ ของนมกระป๋องที่จะนํามาผสมควรจะมีอะไรบ้าง อยากได้คําแนะนําเรื่องรายละเอียดของ บรรดาสารอาหารต่างๆ และวิตะมินที่เหมาะสมในการเลือกค่ะ"
ก่อนที่ป้าหมอจะตอบว่า ควรให้ลูกกินนมผงยี่ห้อไหน คงต้องเรียน ถามคุณแม่ก่อนว่า เพราะอะไรจึงตัดสินใจจะให้ลูกกินนมผง หลังจากให้นมแม่มาได้ 8 เดือน
ก. คนรอบข้างบอกว่านมแม่หมดประโยชน์แล้ว น้ําหนักตัวลูกน้อย สงสัยว่านมแม่อาจไม่พอกับความต้องการของเด็กที่โตขึ้น
ข. คุณแม่ทํางานนอกบ้าน ตอนนี้พยายามปั๊มนมอย่างสุดฤทธิ์ แต่ยังผลิตน้ำนมไม่พอกับความต้องการของลูก นมที่สต๊อกไว้เริ่มร่อยหรอ
ค. คุณแม่ให้นมและปั๊มนมมา 8 เดือนแล้ว อยากมีชีวิตเป็นปกติที่ไม่ต้องวุ่นวาย แบกเครื่องปั๊มนม ระวังเรื่องอาหารการกิน ไอ้นั่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็กินไม่ได้ ลูกแพ้นมวัว แม่อดกินอาหารอร่อยๆตั้งหลายอย่าง ฮือๆๆ
คําตอบสําหรับข้อ ก. นมแม่มีประโยชน์สําหรับเด็กทุกอายุ หากให้นานจนฟันแท้มา คือ อายุ 6-7 ปี แม่และลูกจะได้ประโยชน์เต็มที่ หากให้น้อยกว่านั้น จะได้ประโยชน์ลดหลั่นกันไป งานวิจัยพบว่า
•ยิ่งให้นมแม่นาน ยิ่งมีประโยชน์ต่อแม่ลูกคู่นั้น ช่วยลดความเสี่ยงหลายโรค (ในลูก อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง โรคภูมิแพ้ โรค SIDS โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคลําไส้อักเสบ ในแม่ อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ โรคกระดูกพรุนกระดูกหัก โรคไขข้ออักเสบ โรครูมาตอยด์ โรคซึมเศร้า)
• เม็ดเลือดขาว สารภูมิคุ้มกันในนมแม่จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกป่วยบ่อย จนกระทั่งร่างกายของลูกเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันได้เต็มที่เมื่ออายุ 6-7 ปี จึงทําให้เด็กที่กินนมแม่ป่วยน้อยกว่า
• ลูกมีระดับสติปัญญามากขึ้น ตามระยะเวลาที่ได้กินนมแม่ เนื่องจากได้รับสารบํารุงสมองต่อเนื่อง จนสมองพัฒนาเต็มที่เมื่อ อายุ 6-7 ปี
• ระดับสารอาหาร สารภูมิคุ้มกันที่อยู่ในนมแม่ บางอย่างมากขึ้น บางอย่างเท่าเดิม ตราบจนถึงวันที่นมแม่หยุดไหล ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีก็ตาม โดยที่แม่ไม่ได้เป็นโรคขาดอาหารขั้นรุนแรง
• เด็กเริ่มจําความได้เมื่ออายุ 4-5 ปี หากได้กินนมแม่นาน ลูกจะจําได้เองว่าแม่ทําอะไรเพื่อเขาบ้าง แม่รักเขามากเพียงใด โดยที่เราไม่ต้องบอก เขาจะเป็นเด็กไม่ดื้อ (งานวิจัยพบว่านมแม่ช่วยลดปัญหาเด็กดื้อ เด็กมีปัญหา)
งานวิจัยเหล่านี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบเด็กสองกลุ่มคือเด็กที่ กินนมแม่เทียบกับเด็กที่กินนมผงค่ะ ในเมื่อข้อเท็จจริงพบว่านมแม่ช่วยลด ความเสี่ยงตามข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น เราอาจพูดอีกอย่างได้ว่า การกิน นมผงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เหล่านี้นั่นเอง ดังนั้นผู้ผลิตนมผง จึงควรเขียนเตือนไว้ข้างกระป๋องนมตัวโตๆ ว่า (เหมือนกับการเขียนเตือนข้างซองบุหรี่ สุรา)
"ไม่เหมาะสําหรับเลี้ยงทารก เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยง ในการเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคไขมัน ในเลือดสูง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ ในลูก และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น โรคมะเร็งเต้านม โรคกระดูกพรุน ฯลฯ ในแม่ อาจทําให้ลูกมีสติปัญญาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ระดับไอคิวลดลง 2-11 จุด อาจทําให้ลูกป่วยบ่อย เนื่องจากไม่มีภูมิคุ้มกัน อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกถูกกระทบกระเทือน ดังนั้นจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ คิดให้ดีๆก่อนใช้ และต้องปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาหาวิธีเพิ่มน้ำนมคุณแม่ให้เต็มที่ก่อนที่จะ ตัดสินใจใช้นมผง"
แต่ความเป็นจริงคือ ในโลกของการค้าเสรี และคนที่มีความรู้เรื่อง นมแม่ยังมีอยู่น้อย จึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตนมผงในการให้ข้อมูลที่บิดเบือน แก่ผู้บริโภคการโฆษณาในทีวีนิตยสาร คอลล์เซ็นเตอร์ โทรหาคุณแม่อย่างไม่หยุดหย่อน บอกให้เลิกนมแม่ได้แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว และแนะนําให้กิน นมยี่ห้อนี้ มีสารอาหารระดับพรีเมี่ยม เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัว บลาๆๆๆ
การจัดอีเว้นท์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็ก ความฉลาดของเด็ก เสริมศักยภาพนู่นนี่ ทําให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่านมผงราคาแพงเหล่านี้ มีคุณภาพดีเทียบเท่ากับนมแม่ หรือดีมากกว่านมแม่เสียอีก ในฐานะที่เป็นแม่ และเป็นหมอ ได้แต่แอบหวังว่าในอนาคตจะมีผู้เห็นความสําคัญของสุขภาพ เด็กอย่างแท้จริง จะได้มีการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างจริงจัง และควบคุมการทําการตลาดที่บิดเบือนอย่างรุนแรงของบริษัทนมผงเหล่านี้ ไม่ให้มากเกินไป
ส่วนเรื่องน้ำหนักตัวขึ้นน้อย ก่อนที่จะโทษว่า เป็นเพราะนมแม่ไม่พอ ควรหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น พ่อแม่อาจเป็นคนตัวเล็ก ลูกอาจเป็นเด็กที่กินไม่เก่ง ควรได้รับการประเมินว่านมแม่มีปริมาณน้อยจริงหรือไม่ จากคลินิกนมแม่หรือผู้เชี่ยวชาญ ส่วนเรื่องคุณภาพของนมแม่ ไม่ต้องหวั่นไหว คุณภาพดีตลอดอายุการใช้งาน หากคุณแม่ไม่ได้เป็นโรคขาดสารอาหารขั้นรุนแรง
คําตอบสําหรับ ข้อ ข. ถ้านมแม่เริ่มไม่พอ วิธีการเพิ่มนมแม่ คือ การปั๊มให้บ่อยขึ้น กินอาหารกระตุ้นน้ํานม หาความรู้เพิ่มเติมจากเว็บไซต์ ศูนย์นมแม่ (www.thaibreastfeeding.org, www.breastfeeding thai.com) หรือ ปรึกษาคลินิกนมแม่
คําตอบสําหรับข้อ ค. การให้นมแม่ สามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติค่ะ เวลาแม่ป่วยหรือได้รับยาบางอย่าง ส่วนใหญ่ให้นมได้ (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ จากเว็บไซต์ศูนย์นมแม่ แต่ผู้ไม่ทราบเรื่องนมแม่มักจะห้ามนู่นนี่หลายอย่าง จนทําใหคุณแม่ใช้ชีวิตลําบาก) ยกเว้นแต่กรณีที่ลูกมีปัญหาแพ้อาหารหลายอย่างที่ทําให้คุณแม่ต้องงดอาหาร เหล่านั้นด้วย แต่บางทีวิกฤตก็เป็นโอกาสค่ะ เช่น กรณีที่ลูกแพ้นมวัว คุณแม่ต้องหยุดกินนมวัวและผลิตภัณฑ์นมวัว ปรากฏว่าคุณแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย เพราะที่จริงแล้วคุณแม่ก็เป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งก็แพ้นมวัวด้วยเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมา คุณแม่ไม่ทราบ ทำให้คุณแม่เป็นผื่นแพ้หรือเป็นหวัดบ่อย แต่หลังจากเลิกกินนมวัว อาการผิดปกติของคุณแม่ก็ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังทําให้คุณแม่ควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เพราะอาหารที่มีนมวัวเป็น ส่วนประกอบประเภทอร่อยๆ ทั้งหลาย เช่น ไอศกรีม ชีสเค้ก ล้วนแต่เป็นอาหารเพิ่มน้ําหนักหรือทําให้เป็นโรคอ้วนได้ง่าย วิกฤตเป็นโอกาสอีกอย่าง คือทําให้คุณแม่สนใจหาความรู้เรื่องอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น สนใจเรื่องความอร่อยถูกปากลิ้นน้อยลง เพราะห่วงใยสุขภาพของลูก ทําให้ดูแลเรื่อง อาหารของตัวเองดีขึ้น ไม่กินซี้ซั้วตามใจชอบเหมือนเดิม
ส่วนเรื่องความยุ่งยากลําบากในการใช้ชีวิต เช่น การปั๊มนม การถูกปลุกกลางดึกเวลาลูกกินนม (เด็กกินนมผงก็มีตื่นกลางดึกเหมือนกัน แต่อาจไม่บ่อยเท่า) เวลาท้อเวลาเหนื่อยให้คิดเสียว่าดีกว่าเหนื่อยเวลาลูก ป่วยค่ะเพราะเวลาลูกป่วยคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากจะป่วยแทนลูก (เพราะเห็นลูกทรมานเวลาไข้ขึ้น ต้องโดนเจาะเลือด ใหน้ำเกลือทางเส้นเลือด พ่นยาเคาะปอดดูดเสมหะ) คุณแม่ทนเหนื่อยปั๊มนม ให้นมลูกต่อไปอีกนานหน่อย ส่วนคุณพ่อก็คอยให้กําลังใจคุณแม่ สู้ๆ ค่ะ ป้าหมอขอเป็นกําลังใจให้