"ลูกย่าง 2 ขวบค่ะ ไม่ชอบดื่มนมเลย ให้นมก็ไม่ยอมกิน หรือจิบนิดเดียวแล้ววาง หลอกล่อยังไงก็ไม่ช่วยเลย คุณแม่กังวลเรื่องแคลเซียมว่าอาจได้รับไม่เพียงพอต่อร่างกาย มีวิธีอื่นช่วย หรือควรให้อาหารอื่นแทนไหมคะ"
![](https://www.breastfeedingthai.com/images/column_1400737108/1513249_815853665107449_1742969822_n.jpg)
คุณแม่อีกท่านหนึ่ง ถามว่า อ่านเรื่อง "นมวัวไม่ดี" แล้วสงสัยว่า ถ้าไม่กินนมวัว จะได้รับแคลเซียมจากไหนคะ?
ป้าหมอขอตอบดังนี้ค่ะ
กระดูกและฟันประกอบด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส นักโภชนาการแนะนำว่า เด็กอายุ 1-3 ขวบต้องการแคลเซียม 500 มก.ต่อวัน อายุ 4-8 ขวบต้อง การ 800 มก.ต่อวัน อายุ 9-18 ปีต้องการ 1300 มก.ต่อวัน หากกินเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะขับออกทางอุจจาระปัสสาวะ ไม่ได้ทำให้สูงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด วิธีที่สะดวกในการได้รับแคลเซียมในอดีตที่ถูกสอนกันมา คือ การกินนมและผลิตภัณฑ์จากนม ทำให้มีการรณรงค์ให้ดื่มนมกันมาโดยตลอด
"แคลเซียม กับ ความเป็นจริงที่ถูกค้นพบ"
กระดูกและฟันประกอบด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส นักโภชนาการแนะนำว่า เด็กอายุ 1-3 ขวบต้องการแคลเซียม 500 มก.ต่อวัน อายุ 4-8 ขวบต้องการ 800 มก.ต่อวัน อายุ 9-18 ปีต้องการ 1300 มก.ต่อวัน วิธีที่สะดวกในการได้รับแคลเซียมในอดีตที่ถูกสอนกันมา คือ การกินนมและผลิตภัณฑ์จากนม ทำให้มีการรณรงค์ให้ดื่มนมกันมาโดยตลอด
จนกระทั่งไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเริ่มสงสัยว่า จริงๆแล้วเราต้องการแคลเซียมเท่าใดแน่ เคยมีการศึกษาเด็กหญิงอายุ 12-20 ปี พบว่าการกินแคลเซียมจากนมมากกว่าวันละ 500 มก. ไม่ได้ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก แต่สิ่งที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นกระดูก คือ การออกกำลังกาย เด็กที่ออกกำลังกายจะมีกระดูกที่แข็งแรงกว่า
นอกจากนี้ยังมีวิจัยอื่นรายงานว่า แคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นมจะถูกขับออกทางปัสสาวะมากกว่าแคลเซียมที่ได้จากอาหาร แหล่งอื่นที่ไม่ใช่นม จึงทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมมากกว่าการกินอาหารแหล่งอื่น
นมวัวมีแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ แต่อาหารอื่นก็มีแคลเซียม เช่น ผักสีเขียวชนิดต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วฝัก (beans) ถั่วเปลือกแข็ง (nuts) และเมล็ดพืช (seeds) เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดงาดำ (เดี๋ยวนี้มีแบบขวดพกพาสะดวกเอาไว้โรยหน้าสลัด ขนมปัง) ซึ่งเป็นแหล่งแคลเซียมเริ่มต้น หรือ เป็นแคลเซียมต้นกําเนิดที่ วัว ช้าง ยีราฟ และสัตว์ใหญ่ต่างๆ ได้รับจากธรรมชาติ สัตว์เหล่านี้หลังจากที่หย่านมแม่แล้ว ก็กินอาหารตามธรรมชาติตามที่ธรรมชาติกำหนดมา ซึ่งก็คือ ผักและถั่วชนิดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ผักสีเขียว
สัตว์เหล่านี้มีโครงกระดูกแข็งแรงได้ด้วยผักล้วนๆ ดังนั้น อย่าเชื่อข้อมูลที่ว่าแคลเซียมจากพืชนั้น ไม่ดีเท่าแคลเซียมจากสัตว์ ไม่เป็นความจริงค่ะ ลองคิดดูว่า กระดูกคนกับกระดูกสัตว์ใหญ่ที่กินพืชเหล่านี้ ชนิดใดแข็งแรงกว่ากันแน่
อาหารพวกนี้ นอกจากจะให้แคลเซียมชนิดที่ดูดซึมได้ดีเท่าหรือดีกว่าเมื่อเทียบกับนมวัว และยังให้วิตามิน ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และเส้นใยอาหาร ซึ่งหาไม่ได้จากนมวัว หากเราได้รับแคลเซียมจากอาหารเหล่านี้โดยตรง จะไม่ต้องเสี่ยงกับอันตรายที่ได้รับจากการกินนมวัว
ผลการวิจัยหลายชิ้นพบว่าปริมาณนมที่เด็กกินไม่สัมพันธ์กับปริมาณแคลเซียมใน กระดูก ประเทศที่กินนมวัวมาก กลับพบอุบัติการณ์ของโรคกระดูกพรุนและกระดูกข้อสะโพกหักมากกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะโปรตีน ฟอสฟอรัส โซเดียม จํานวนมากในนมวัว ทําให้สูญเสียแคลเซียมออกทางไต
แหล่งอาหารอื่นๆที่มีแคลเซียม
ปริมาณ 100 มก. ได้แก่
คะน้า 1 ถ้วยตวง ผักกวางตุ้ง 1 ถ้วยตวง
งาดำ 2 ช้อนชา ดอกแค 1 ถ้วยตวง
มันเทศ 1.5 ถ้วยตวง ถั่วแดง 2 ช้อนโต๊ะ
ปริมาณ 150 มก. ได้แก่
บร๊อคคอลี่ 1 ถ้วยตวง กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 2 ช้อนชา ผักโขม 1 ถ้วยตวง
ไอศครีมนมถั่ว 1 ถ้วยตวง อินทผลัม 5 ลูก
ชีสนมถั่ว 1 แผ่น
ปริมาณ 200 มก. ได้แก่
ถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง ปลากระป๋อง 0.5 ถ้วยตวง
ผักกาดเขียว 1 ถ้วยตวง
ปริมาณ 250 มก. ได้แก่
ปลาเล็กปลาน้อยกินทั้งกระดูก 0.5 ถ้วยตวง
ปริมาณ 300 มก. ได้แก่
โยเกิร์ตถั่วเหลือง 1 ถ้วยตวง เต้าหู้แข็ง 1 แผ่น
นมถั่วเหลือง น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำนมข้าว ชนิดเสริมแคลเซียม 1 ถ้วยตวง
แต่ถ้าหากลูกเป็นเด็กที่กินค่อนข้างยากหรือเลือกกิน การบดแคลเซียมเม็ดหรือให้เคี้ยวแคลเซียมเม็ดก็ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียม เช่นกัน ส่วนชีสแผ่น โยเกิตรสธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากนม ต่างก็มีแคลเซียมเช่นกัน แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ จึงไม่แนะนำ ยิ่งถ้ามีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว การหลีกเลี่ยงนมวัวในช่วง 5 ปีแรก จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้