ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 มีผลกระทบต่อการเรียนการสอนของเด็กในปัจจุบันมาก ที่ต้องปรับตัวมาเรียนออนไลน์มากขึ้น  การเรียนแบบโฮมสคูลจึงกลาย เป็นหลักสูตรที่เริ่มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถเรียนได้จากที่บ้าน

home school คือ การเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้เรียนสนใจเป็นสำคัญ โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้วางแผนการเรียนและเป็นผู้สอนบุตรหลานด้วยตัวเอง โดยการเรียนประเภทนี้สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และยังสามารถใช้ศึกษาต่อในระดับสูงอีกด้วย

ข้อดี - ข้อเสีย ที่เด็กจะได้รับจาก การเรียนแบบโฮมสคูล (home school)

ข้อดีของการเรียนแบบ Home Schooling

1. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะที่ตัวเองสนใจ แม้จะเรียนที่บ้านแต่เด็กๆ ก็ผ่านหลักสูตรตามข้อกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเหมาะสมและสามารถข้ามวิชาที่ไม่จำเป็นต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ทำให้เด็กมีเวลาในการทำกิจกรรมที่ตัวเองให้ความสนใจ รู้ว่าควรโฟกัสอะไรและเรียนจบหลักสูตรระดับชั้นต่างๆ ได้ไวมากขึ้น

2. เกิดการปฏิสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว ลูกจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองอย่างเต็มที่ เพราะได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกันอยู่เสมอ เข้าใจกัน

3. การเรียนการสอนมีความยืดหยุ่น เนื่องจาก เรียนที่บ้าน เป็นการเรียนที่ให้ความสำคัญเฉพาะวิชาที่ต้องใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สามารถปรับการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม 

ข้อเสียของการเรียนแบบ Home Schooling

1. ขาดทักษะการเข้าสังคม หากเด็กเรียนแบบ home school ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต่อเนื่องกันโดยไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นทำให้เด็กขาดทักษะในการเข้าสังคมได้

2. ผู้ปกครองขาดความเข้าในหลักสูตร แม้ว่าการเรียนแบบ Home Schooling จะมีความยืดหยุ่นแต่หากผู้ปกครองไม่มีความรู้ ความสามารถในการสอนให้ลูกเข้าใจในวิชาที่จำเป็นอาจส่งผลเสียต่อการเรียนของลูกในอนาคตได้

หลักสูตร home school เรียนอยู่บ้าน Milo ในประเทศไทย รองรับตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยผู้ปกครองที่สนใจในหลักสูตรนี้และต้องการให้บุตรหลานได้รับวุฒิการศึกษาตามหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดสามารถยื่นเอกสารเพื่อขออนุญาตจดทะเบียนหลักสูตรได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดที่อาศัยอยู่ได้ โดยการจบหลักสูตรสามารถจดได้ทั้งหลังสูตรของไทยและต่างประเทศ รวมถึงวิธีการประเมินผลเพื่อจบหลักสูตรในแต่ละชั้นเรียนขึ้นอยู่กับ สพฐ. แต่ละพื้นที่กำหนด เช่น การขอดูแฟ้มผลงาน การทำข้อสอบ หรือการสอบสัมภาษณ์เพื่อวัดระดับความรู้ ความเข้าใจ เป็นต้น และจะสามารถสอบวัดผลได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น