โดย ประภาส ชลศรานนท์
มติชนรายวัน 12 ก.พ. 46
พี่ประภาส
เพิ่งทะเลาะกับเพื่อนที่ตั้งทีมกันทำงานด้านเว็บไซต์ด้วยกัน กำลังมีรุ่นน้องมาชวนให้ไปตั้งทีมใหม่ บอกตรงๆ ว่าชักปอด เพราะทีมเก่านั้นทำกันมาตั้งแต่เรียนปี 3 จนจบมาเกือบ 7 ปีแล้ว เข้าขากันจนไม่อยากทำงานกับคนอื่นอีก กลัวไปสารพัด กลัวว่าเขาจะเก่งกว่าเรามั้ย หรือเขาอาจจะไม่เก่งเลย ยอมรับว่ากลัวจนเครียด บางทีก็กลัวว่าเราอาจจะตกรุ่นแล้ว ความคิดล้าสมัย พี่มีความคิดดีๆ เกี่ยวกับการทำงานกับทีมใหม่ๆ บ้างมั้ย
ไฟร์บอล
คุณอาประภาส
อยากรู้ว่าหน้าที่โปรดิวเซอร์เค้าทำอะไรกันบ้าง เพื่อนบอกว่า โปรดิวเซอร์ไม่ใช่นักแต่งเพลง แต่เป็นคนคุมงาน แล้วถ้าจะเป็นโปรดิวเซอร์ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
รีโมท
ขออนุญาตแนะนำให้รู้จักนักดนตรีคนหนึ่งครับ เขาชื่อ ควินซี่ โจนส์
คนไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักเขาสักเท่าไหร่ เพราะงานของเขาค่อนข้างอยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าไปถามพวกที่ทำงานอยู่ในแวดวงดนตรี โดยเฉพาะนักดนตรีหรือโปรดิวเซอร์นี่ต้องเรียกว่าเป็นขวัญใจของคนหลายคนเลยทีเดียว
ผมได้ยินชื่อเขาครั้งแรกก็ตอนสมัยยังเป็นนิสิต ได้ยินจากปากคุณเรวัต พุทธินันทน์ หรือพี่เต๋อ ตอนที่ไปขอให้แกมาช่วยทำดนตรีให้เฉลียงชุดแรก
เพิ่งได้ยินคำว่า "โปรดิวเซอร์" ก็จากพี่เต๋อนั่นแหละครับ เกือบสามสิบปีที่แล้วนี่ คำนี้ยังไม่มีใครเคยใช้เลย สมัยนั้นถ้าจะทำเพลงสักชุดนี่ คนที่เกี่ยวข้องก็จะมีคนแต่งเพลงที่นักร้องเรียกกันว่าครูเพลง มีคนทำดนตรี แล้วก็มีนายห้างเจ้าของบริษัทแผ่นเสียง
แม้แต่พวกผมที่ริอาจจะทำเพลงสักชุดจากเพลงที่แต่งกันร้องเล่นๆ ก็คิดแค่ว่า จะไปหาพี่เต๋อเพื่อให้แกช่วยทำดนตรีให้เพลงชุดนี้หน่อย แค่นั้น
พอพี่เต๋อฟังเพลงที่พวกผมแต่งมาแล้วแกก็บอกว่า แกจะเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ทั้งๆ ที่แกก็ไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทแผ่นเสียงอะไรที่ไหน (สมัยนั้นแกยังไม่ได้ตั้งบริษัทแกรมมี่)
แล้วแกก็ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ในการทำเพลงชุดหนึ่งนั้น ต้องมีคนที่ต้องมองภาพรวมของเพลงทั้งหมด วางแนวว่าเพลงแต่ละเพลงดนตรีควรจะเป็นอย่างไร ใครร้อง ร้องอย่างไร ประสานเสียงตรงไหน ใครต้องเป็นคนเล่นดนตรี ต้องเล่นแค่ไหน อย่างไร รวมไปถึงการควบคุมการบันทึกเสียงทั้งด้านคุณภาพ ระยะเวลา งบประมาณ และบรรยากาศในการทำงาน
คุณรีโมทถามมาถึงเรื่องหน้าที่ของโปรดิวเซอร์ก็คงได้คำตอบคร่าวๆ ไปแล้ว อันที่จริงหน้าที่ของโปรดิวเซอร์ยังไม่หมดแค่นี้ บางท่านทำงานเลยไปถึงภาพพจน์ของนักร้อง และเลยไปถึงการแสดงบนเวทีด้วย
ช่วงที่บันทึกเสียงเพลงเฉลียงชุดแรกกับพี่เต๋อ พอมีเวลาว่างแกก็จะมักจะเล่าให้ฟังถึงนักดนตรีฝรั่งที่แกชื่นชม หนึ่งในนั้นก็คือโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ ควินซี่ โจนส์ คนที่ผมจะแนะนำให้รู้จักในวันนี้
สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่รู้จักเขา แนะนำอย่างง่ายที่สุดว่าเขาทำอะไรมาบ้าง ก็คงต้องบอกว่าเขาคือผู้ที่ทำเพลงเราล้วนคือโลก (We Are The World) เพลงที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดในโลกตลอดกาลเพลงหนึ่ง
และว่ากันว่าโจนส์น่าจะเป็นนักดนตรีที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ของอเมริกามากกว่าใครทั้งหมด
หนังสือดนตรีหลายเล่มยกให้โจนส์เป็นตำนานสำคัญหน้าหนึ่งของอุตสาหกรรมบันเทิง เขาได้ร่วมงานกับนักดนตรีฝีมือดีมากมายหลายรุ่น นับตั้งแต่ แฟรงค์ ซิเนตร้า,เรย์ ชาร์ลส, ไมลส์ เดวิส,ดุ๊ค เอลลิงตัน จนมาถึงยุค ไมเคิล แจ๊กสัน อัลบั้มสยด (Triller) นี่ก็ฝีมือของเขา
โจนส์ใช้ชีวิตวัยเยาว์ในแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองชิคาโก พออายุถึงสิบเอ็ดก็ย้ายไปวอชิงตัน และก็เกิดรักแรกพบกับดนตรีที่นี่ เด็กชายโจนส์เริ่มต้นจากเครื่องดนตรีประเภทหางเครื่อง (Percussion) เขาเริ่มขลุกตัวอยู่ในโรงเรียนหลังเลิกเรียนทุกวันเพื่อหัดเลนดนตรีชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปี่ แตรและไวโอลิน สุดท้ายเขาก็มาจดจ่ออยู่กับพวกเครื่องเป่า โดยเฉพาะทรัมเป็ตนี่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่เพื่อนฝูงว่าฝีมือไม่ธรรมดา
เมื่ออายุได้ 14 ปี โจนส์ก็ฉายแววอัจฉริยะ เขาเริ่มแต่งเพลงเอง เรียบเรียงดนตรีเอง และเมื่อใดก็ตามที่มีวงดนตรีฝีมือดีมาแสดงใกล้โรงเรียน โจนส์ก็มักหาโอกาสเข้าไปร่วมเล่น หรืออย่างน้อยที่สุดก็เข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดด้วย พออายุได้ 18 ปี โจนส์ก็ออกตระเวนเล่นดนตรีอย่างจริงจังกับวงแฮมป์ตัน
พออายุครบเบญจเพส โจนส์ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักดนตรีที่ได้ร่วมงานกับนักดนตรีแจ๊ซที่ยิ่งใหญ่เกือบหมดประเทศแล้ว ความเห็นหนึ่งเดียวที่นักดนตรีแจ๊ซรุ่นพี่ทุกคนพูดถึงหนุ่มน้อยโจนส์ก็คือ "เขามีความกระหายใคร่เรียนรู้ตลอดเวลา" อาจเป็นด้วยบุคลิกนี้เองที่ทำให้เขาได้ทำงานกับคนหลากหลาย หลังจากนั้นเขาก็เข้าทำงานกับบริษัทแผ่นเสียงเมอร์คิวรี่ และพออายุได้ 30 ปีเขาก็นั่งแท่นผู้บริหาร ซึ่งต้องนับเป็นผู้บริหารผิวดำคนเดียวในบริษัท
หลังจากนั้น โจนส์ก็กระโดดเข้ารับงานท้าทายใหม่ๆ ด้วยการทำเพลงประกอบภาพยนตร์กว่า 30 เรื่อง และเพลงประกอบรายการโทรทัศน์อีกนับไม่ถ้วน
ตอนที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมงานกับราชันย์เพลงป๊อป ไมเคิล แจ๊กสันนั้น ในแวดวงดนตรีแจ๊ซไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีหรือแฟนเพลงก็เริ่มโจมตีเขาว่า เขากำลังขายตัว ตรงนี้น่าสนใจนะครับ ศิลปะหลายชิ้นไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกก็เพราะศิลปินติดอยู่ในบ่วงนี้ มาลองฟังโจนส์ให้สัมภาษณ์ดูดีกว่าว่าเขาคิดอย่างไร
"เมื่อครั้งยังวัยรุ่น วงที่โรงเรียนผมเล่นดนตรีแทบทุกประเภท ทั้งริธึ่มแอนด์บลูส์ โพลก้า ซัลซ่า เราเล่นดนตรีในคลับทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นคลับคนขาวหรือคลับคนผิวสี ทั้งสโมสรเทนนิสและข้างถนน ผมรักดนตรีทุกสไตล์ ดังนั้นไม่ว่าผมจะทำงานกับแฟรงค์ ซิเนตร้าหรือไมเคิล แจ๊กสัน ผมก็ไม่รู้สึกแตกต่างอะไรกันสักเท่าไร"
ฟังเขาอธิบายแล้ว ผมก็นึกออกเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้จึงได้ยิ่งใหญ่ในวงการเพลง ในความคิดของผมแล้ว ผมว่าหัวใจเขาเปิดกว้างมาก และด้วยหัวใจที่เปิดกว้างอันนี้แหละเขาจึงน่าจะเป็นคนเดียวที่โลกต้องมอบหมายให้เขาทำเพลงเราล้วนคือโลก ที่เอานักร้องนักดนตรีดังๆ ของทั้งโลกมาร้องร่วมกัน
คลาสสิคอย่าดูถูกแจ๊ซ แจ๊ซอย่าดูแคลนป๊อป ป๊อปก็อย่ารังเกียจลูกทุ่ง ลูกทุ่งเองก็อย่ารังงอนหมอลำ
ย่อหน้าข้างบนผมขออนุญาตพูดลอยๆ นะครับ ไม่รู้คุณไฟร์บอลจะสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับวงการดนตรีหรือเปล่า แต่ย่อหน้าข้างบนนี่ผมเขียนให้คุณไฟร์บอลอ่านโดยเฉพาะ
นอกจากพรสวรรค์ด้านดนตรีที่โจนส์มีอยู่ล้นเหลือแล้ว "ความยืดหยุ่น" น่าจะเป็นอาวุธสำคัญอีกอันหนึ่งที่ทำให้โจนส์โลดแล่นอยู่ในยุทธจักรดนตรีอย่างเกรียงไกร และถ้ามองจากมุมของผมซึ่งก็ขอต้องขอสารภาพว่าผมก็นิยมการร่วมงานกับผู้คนหลากหลายเช่นกัน ผมคิดว่าการที่เขาได้ร่วมงานกับคนใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้เขาเกิดชำนาญมากขึ้นที่จะดึงเอาความสามารถพิเศษของแต่ละคนที่เขาร่วมงานด้วยให้โดดเด่นออกมา
ขออนุญาตตอบคุณรีโมทไปด้วยเลยว่า อันนี้ก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของ "โปรดิวเซอร์"
และก็ด้วยคุณสมบัติอันนี้นี่แหละครับ ทั้งการปรับตัวและการเปิดใจ โจนส์ก็เริ่มขยายผลิตผลทางศิลปะของเขากว้างออกจากวงการดนตรี หลายคนไม่รู้เลยว่าเขาเป็นผู้ร่วมสร้างหนังเรื่อง The Color Purple ที่สตีเว่น สปีลเบอร์กกำกับ ก่อนที่จะมาทำรายการทีวีซีรีส์ชุด Fresh Prince of Bel-Air และก็กระโจนมาเปิดนิตยสาร Vibe
แรกๆ ที่ได้ยินว่าเขาไปทำนู่นทำนี่ก็เคยรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมเขาจึงมีความสามารถหลากหลายนัก เดี๋ยวก็ทำเพลงกับนักดนตรีฝั่งอังกฤษ เดี๋ยวก็ไปร่วมงานกับคาซึอากิ ช่างภาพหนุ่มชื่อดังของญี่ปุ่น อีกเดี๋ยวก็ไปเปิดบริษัท Qwest ผลิตรายการโทรทัศน์
ข่าวคราวสุดท้ายที่ผมได้ยินเกี่ยวกับโจนส์ก็คือ เขากำลังเขียนบทละครบรอดเวย์อยู่
อะไรกันพี่โจนส์ อายุเจ็ดสิบกว่าแล้วยังหาอะไรใหม่ๆ ทำอยู่เลย
คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยมองความท้าทายเป็นปัญหาเลย ถามว่ามีฐานะร่ำรวยระดับเศรษฐีเบเวอรี่ฮิลล์อย่างเขานี่ใยต้องมาหาเรื่องเหนื่อยปั๊มเงินอีกทำไม คำตอบของเขาน่ารักดีนะครับ เขาบอกว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าเงินและชื่อเสียงก็คือ งานใหม่ๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนเขากลับไปมีอายุสิบห้าอีกครั้ง
คุณไฟร์บอล อย่าไปกลัวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นไอเดียใหม่ สถานที่ใหม่ หรือทีมใหม่ ประโยคเดียวของโจนส์ที่น่าจะเป็นคำตอบของคุณไฟร์บอลก็คือ
"การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร กลัวมันหรือสนุกกับมัน"
|