
เรื่องของแม่เอื้อย ![]() เมื่อเด็กๆ ได้ยินสำนวนของฝรั่งว่า don’t cry over spilled milk เท่าไรก็ไม่เคยซึ้งใจค่ะ เพราะไม่เคยทำนมหก และสมมติหกก็ไม่รู้สึกว่าเสียดายนมวัวในกล่องเท่าไรนัก (สมัย 30 ปีก่อน เหมือนจะมีนมแค่ยี่ห้อไทยเดนมาร์ก บรรจุกล่องสามเหลี่ยมปิรามิด เวลาดื่มก็เอาหลอดเจาะรูกลมๆ ที่ตรงยอด) มาวันนี้ คนใกล้ตัวยกสำนวนนี้ขึ้นมาเตือนด้วยความเวทนาแกมรำคาญที่เราโศกาอาดูรกับนมที่ตั้งหน้าตั้งตาผลิต แล้วมีเหตุให้ไม่ได้ตกถึงท้องของลูกดังใจหมาย โธ่ ..ถึงจะให้นมแม่แก่ลูกทั้ง 2 คนได้ แต่เราไม่ใช่คนน้ำนมเยอะนี่คะ ลูกชายคนโตของเราชื่อเรือต้นค่ะ ย้อนไป 2 ปีก่อน ในเวลาที่ต้นเกิดนั้น กระแสนมแม่เริ่มมาแรงแล้ว แต่เสียดายที่ความรู้เกี่ยวกับวิธีการกระตุ้นน้ำนม ยังไม่ค่อยแพร่หลาย เราอยากให้ลูกกินนมแม่ ก็พยายามให้นมแม่ไปตามอัตภาพ โรงงานนมขนาดย่อมของเราเปิดตัว Grand Opening ประมาณวันที่ 3 หลังจากคลอดเรือต้นค่ะ คุณน้องเรือต้นช่วยเปิดโดยออกแรงดูดฟรีๆ 15-30 นาที ทุกมื้อก่อนจะกินนมผง (กินนมผงเนื่องจากตอนนั้นมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องให้เขาแข็งแรงขึ้น) เช้าวันนั้น เราพูดว่ากลัวไม่มีน้ำนม กลัว กลัว ซ้ำซากจนคุณพยาบาล(ไม่แน่ใจว่านึกเห็นใจหรือรำคาญ) เอามือบีบเต็มเหนี่ยว น้ำนมแม่หยดแรก สีขุ่นๆ ฟ้าๆ จึงซึมออกมาปรากฏนิ่งให้บันทึกภาพ แล้วเรือต้นก็งับมุบเข้าปากไป โอว.. (พระเจ้าจอร์จ) .. มีนมกับเค้าเหมือนกัน กำลังใจมาเป็นกอง แล้วเราได้ให้นมแม่แข่งกับแม่วัวนับจากวันนั้นไปอีกร่วม 7 เดือน ผลงานการให้นมแม่ครั้งนั้น แม้มีคนยกนิ้วให้เป็นหนึ่งในตระกูลแล้ว แต่ตามมาตรฐานแม่ค้ากล้วยแขก (ทอดไปลูกดูดไป กินได้เป็นปี) ถือว่าเด็กๆ ค่ะ เราไม่รู้ว่าเดือนสองเดือนแรกจะสำคัญ อัตราการเพิ่มน้ำนมจะมากสุด ถ้าย้อนเวลาได้ จะกลั้นใจให้เรือต้นดูดลูกเดียว จะได้ไม่ต้องให้กินนมผงเลย ตอนนั้น เราพึ่งการประคบน้ำร้อน กินแกงเลียง หมูผัดขิงไปตามเรื่อง น้ำเย็น ไอสครีมงดหมด ดีที่เรือต้นดูดบ่อยและดูดแรง เลยพอมีน้ำนมมาเรื่อยๆ ค่ะ แต่ขนาดนั้น เวลาลองบีบลองคั้นดู ก็ได้น้ำนมแค่กลิ้งติดก้นถ้วยเท่านั้น พอเรือต้นได้ 3 เดือน ชะตาชีวิตกำหนดให้เราต้องไปฝึกวิชาที่เมืองจีน 5 วัน ติดเกาะ อาศัยอยู่และกินใน campus ของมหาวิทยาลัยชานเมือง น้ำร้อนก็ไม่มีกินและอาหารก็ไม่ครบ 5 หมู่ หอพักทำให้กินอยู่หมู่เดียวคือผัก ผัดผัก แกงผัก อุตส่าห์มีซาลาเปา ก็เป็นไส้ผักอีก SME ระส่ำระสายแทบปิดกิจการเลยค่ะ รอดมาได้เพราะพยายามปั๊มนมทิ้งทุกวัน (ขอบคุณพี่หน่อย เอื้อเฟื้อที่ปั๊มไฟฟ้า) กลับถึงบ้านเดือดร้อนเรือต้นต้องดูดหน้าตั้ง เราต้องเข้าอบรมสัมมนากับกลุ่มนมแม่ กอบความรู้และกำลังใจมาอีก กำลังการผลิตแม้จะลดลงไป แต่ก็พอทู่ซี้แข่งกับแม่วัวจนผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ 6 เดือนไปได้ มาถึงลูกคนที่สอง น้องเรือกิ่ง เกิดเมื่อปลายปีที่แล้ว (2548) คนนี้ได้กินนมแม่เยอะกว่าพี่ชายค่ะ เพราะระหว่างนี้ เราเห็นการให้นมแม่ของเพื่อนๆ แล้วเกิดความมุมานะ (สำคัญที่เห็นนมที่เค้าปั๊มใส่ขวดโตๆแล้วตาลุก) ได้ขอคำแนะนำจากคุณหมอและคุณพยาบาลตั้งแต่น้องแรกคลอด เมื่อกลับมาทำงานก็มีแรงหนุนจากเพื่อนๆ (พี่โป้ง กิ๊ เชอรี่ ออย และพี่หน่อยเจ้าเก่า) โชคดีกว่านั้น คือคราวนี้ได้รู้จักกับ*****ผู้โอบอ้อมอารี เจ้าของ web การให้นมแม่ที่คอยดูแลแก้ปัญหาให้คุณแม่อยากมีน้ำนมอย่างเรานี่ละค่ะ ย้อนกลับมาเรื่องธุรกิจ คุณเรือกิ่งดูดฟรีอยู่ 3 วันเหมือนกันค่ะ กว่า SME ขนาดย่อมจะเปิดอีกครั้ง ซึ่งมีเหวอๆ เพราะตอนนอนโรงพยาบาล ไม่ได้กินอาหารบำรุงบำเรอเท่าไร ไปหนักที่ดื่มน้ำอุ่นกับดื่มนมกระป๋อง (ตราอะไรหนอที่ไว้ใจได้) กลับบ้านต้องขอคุณพยาบาลมาทั้งกลูโคสและนมผง คืนแรกแน่นอนฮ่ะพยายามป้อนทุกอย่างที่มี แต่เรือกิ่งส่ายหน้าเดียะทุกรายการ ต้องขอบคุณความเหนื่อยจากการไม่มีพี่เลี้ยงช่วย เราไม่มีแรงชงนมและล้างขวดนม เอะอะก็นอนให้เรือกิ่งดูดนมท่าเดียว (จริงๆ สลับ 2 ท่าคือตะแคงซ้ายที ตะแคงขวาที) เรือกิ่งเธอก็กินไปแหวะไป นึกได้อีกที อ้าว ไม่ได้กินนมผงมาตั้งหลายวันแล้ว ทีนี้ก็ดีใจระคนมั่นใจละสิคะ แต่รักแท้ก็มีอุปสรรคอีกแล้วค่ะ เริ่มจากความสบายจากการนอนให้นมซึ่งมีข้อเสียคือทำให้แม่หลับ พอแม่หลับ ลูกหลับ แล้วใครละจะเช็ดแก้มเช็ดปากลูกให้ ผลก็คือแก้มเรือกิ่งเป็นเม็ดแดงเหวอะจนน่าสงสาร แม่เลยพาลกลัว คอยบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้ลูกดูดนม พอแก้มน้องดีขึ้น น้ำนมแม่ก็งอน ไม่เต็มอกเต็มใจมาเหมือนก่อนซะแล้ว เมื่อวันกลับมาทำงานใกล้มาถึง เราก็เริ่มรองน้ำนมที่หยดติ๋งๆ เช้า กลางวัน เย็น สะสมไว้ ( 15 หยดก็เอาค่ะ เสียดาย) และเริ่มใช้มือบีบน้ำนมเก็บไว้ด้วยตามที่กลุ่มนมแม่แนะนำไว้ ทีละนิดละน้อยก็ได้มาขวดสองขวด พอให้เปิดตู้เย็นดูแล้วปลื้มใจ (เปิดอวดพ่อของเรือต้นบ้าง) ปลื้มได้ไม่นาน สังเกตเห็นราดำๆ ในตู้เย็น คาดว่าเกิดช่วงไฟดับ งานนี้ สลดเพราะต้องเทนมสะสมทิ้งหมดค่ะ พอมาทำงาน เรานึกขอบคุณการให้นมแม่แบบจริงจังที่ทำให้ยังใส่ชุดทำงานบางตัว(ที่เอวใหญ่)ได้ ตกเที่ยงล้างมือแล้วหลบไปก้มงุดบีบๆ คั้นๆ เงยขึ้นมาอีกทีบ่ายกว่า ได้นมมาบ้างก็ดีใจ ตกเย็นเอาอีกค่ะ ง่วนอย่างนี้อยู่หลายวัน จนน้องเชอรี่เอื้อเฟื้อที่ปั๊มมือแบบกระบอกสูบ ชีวิตจึงดีขึ้นเพราะใช้เวลาเพียง 15 นาที แถมพอทำจนเป็นกิจวัตรดีแล้ว ทีนี้นั่งปั๊มแบบชิวๆ จิบน้ำร้อนไปพลาง อ่านงานไปพลาง สบายอารมณ์ อุปสรรคก็ยังมีเข้ามาอีกเรื่อยๆ ค่ะ ไม่นานหลังจากนั้น เราไม่สบายบ้าง ไม่มีเวลาบ้าง มีปัญหาชวนเครียดบ้าง(แล้วก็ไฟดับอีกแล้ว) อุปกรณ์ปั๊มชำรุดบ้าง (ง่วงหรือขี้เกียจบ้าง) ทำให้ไม่ได้ปั๊มนมสม่ำเสมอและน้ำนมเริ่มไม่พอ ต้องยอมให้เรือกิ่งกินนมผงเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างที่เกริ่นไว้ว่าครั้งนี้ยังมีความโชคดีอยู่ที่ขวนขวายหาข้อมูลนมแม่จาก web ทำให้ได้รู้จักกับ*****ผู้อารีเจ้าของ web ซึ่งให้ความช่วยเหลือเรื่องการให้นมแม่แก่เราในทุกๆ ด้าน ทั้งอุปกรณ์และความรู้ เธอได้กรุณาสรรหาสารพัดวิธีการกระตุ้นมาบอก เช่น ให้ปั๊มถี่ขึ้น สอนใช้ มือคั้นและนวดกระตุ้น (เผลอนวดขณะนั่งทำงาน) ทำให้ยังมีน้ำนมมาเรื่อยๆ และเมื่อจุดวิกฤติมาถึงในที่สุด (ซึ่งทำให้น้ำนมเราหายไปครึ่งหนึ่ง) *****ที่แสนดีก็มีไม้ตาย คือส่งบทวิจัยเรื่องของการกินยาที่ให้ผลทางอ้อมเกี่ยวกับปริมาณน้ำนมมาให้พิจารณา เราทำตาม*****แล้วเป็นดีทุกทีค่ะ จากตู้เย็นที่ว่างเปล่า ตอนนี้เริ่มมีน้ำนมสะสมในตู้เย็นอีกครั้งแล้ว
สรุปว่าเรือกิ่งจึงยังคงได้กินนมแม่อย่างน้อยวันละ 1 ขวดตอนกลางวันที่แม่ไปทำงาน ส่วนกลางคืนนอนกับแม่ ตื่นปั๊บแม่ก็จับตะแคงดูด แสนสุโข แม่กิ่งจึงเติบโตเป็นสาวมั่น จอมกรี๊ด แรงเยอะ (ยันตัวยืนตั้งแต่ 4-5 เดือน หาเรื่องให้ขาโก่ง) ตอนนี้ 7 เดือน กะดึ้บๆ แกว่งก้นไปมาแล้ว ส่วนสมองและความจำจะพัฒนาขนาดไหน ขึ้นกับการฝึกการสอนด้วยค่ะ เพราะเรือต้นกินนมแม่คู่กับนมผงก็จริง แต่ครอบครัวให้เวลาเล่นกับเขาเต็มที่ ฝึกสอนทางวิชาการก็เยอะ พ่อต้นจึงเติบโตเป็นเด็กกวนๆ ที่รักการอ่านและการพูด พยายามพูดประโยคซ้อนหลายชั้น คืนไหนฝนตกฟ้าคะนองจะไม่เป็นอันนอนค่ะ งัวเงียลุกมาสั่งเบาๆ แม่..อุ้มจ้น (ต้น)..ปายดู..ฟ้าย้อง (ร้อง)..ฮุ่มฮุ่ม.. ท้ายสุดนี้ เราก็หวังว่าคำโบราณที่สอนให้รักสามัคคีกันเพราะกินข้าวหม้อเดียวกันมาคงใช้ได้กับสองพี่น้องคู่นี้ที่กินนมโรงงานเดียวกันมา ยามอารมณ์ดีพ่อต้นกับแม่กิ่งชอบ(ให้อุ้ม) เล่นจ๊ะเอ๋หัวร่อกันเอิ้กอ้าก ยามพ่อต้นอารมณ์บูด กระแทกตัวนั่งทับน้องที่แม่อุ้มปุ๊บ น้องก็จิกผมพี่มับ เห็นสองพี่น้องรักกันอย่างนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของชีวิตทีเดียวละค่ะ ฮ่าฮ่า
|