
รักต้องสู้ ![]() สามัญสำนึกของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ วันแรกๆ ที่เริ่มให้นมลูกเป็นวันที่แย่มากๆ – สุขสบายเหรอ ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว บางทีมันก็เจ็บปวดแทบจะเกินทน ช่วงที่แย่มากๆ ฉันพาลจะคิดไปว่า บางทีการให้ลูกกินนมจากอกแม่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับเรา
ฉันตั้งใจมาตลอดว่าจะให้ลูกของฉันได้กินนมจากอกแม่ – แพ็ม น้องสาวของฉันให้ลูกทั้ง ๓ คนของเธอกินนมจากอกแม่ได้สำเร็จด้วยดี และฉันได้เห็นหลานๆ โตขึ้นเป็นเด็กแข็งแรงและมีความสุข ฉันรอคอยถึงวันที่จะได้ให้นมลูกด้วยความคิดว่ามันจะเป็นรางวัลที่ได้รับหลังจากผ่านพ้นการตั้งครรภ์มาได้ และเป็นหนทางที่ลูกน้อยกับฉันจะได้มีความใกล้ชิดกันเหมือนกับที่ฉันเห็นในครอบครัวของน้องสาวฉัน ฉันแทบจะรอให้ถึงเวลานั้นไม่ไหวเลย อุปสรรคของเราก็เริ่มขึ้นตั้งแต่แรก ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากจูลี่คลอด ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก ฉันแทบไม่สามารถทำให้เธองับหัวนมได้เลย และเมื่อเธอเริ่มจะดูดได้ ฉันก็เจ็บหน้าอกมาก เจ้าหน้าที่และพยาบาลมีความเห็นอกเห็นใจมากๆ แต่พวกเขาก็ให้คำแนะนำที่ขัดแย้งกันเอง พยาบาลอยากเห็นลูกฉี่บ่อยกว่านี้ และแนะนำให้ฉันเอาน้ำกลูโคสใส่ขวดป้อนให้ลูก ฉันรู้สึกหมดกำลังใจ หวาดกลัว และวิตกกังวล ช่วงสองสัปดาห์แรกกลายเป็นความทรงจำที่รางเลือนไปแล้วในตอนนี้ แต่ฉันจำได้ว่าเมื่อถึงประมาณสองสัปดาห์ครึ่ง จูลี่ก็ยังมีปัญหามากๆ เวลาที่ฉันให้แกกินนม หัวนมฉันแตกและมีเลือดไหล ฉันโทรศัพท์หาเพื่อน ซึ่งแนะนำให้ฉันพบกับผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ฉันและผู้เชี่ยวชาญพยายามแก้ปัญหาร่วมกันอย่างใกล้ชิด การเปลี่ยนท่าในการให้นมช่วยได้บ้าง แต่จูลี่ก็ยังเป็นเด็กที่ชอบงับหัวนมจนแน่น เธองับมันแน่นมากจนทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก การผลิตน้ำนมของฉันจึงลดลงทั้งๆ ที่ฉันให้นมตลอดเวลา แล้วฉันก็ยังมีอาการติดเชื้อที่หน้าอกอย่างค่อนข้างรุนแรงอีก ฉันต้องกินยาแก้อักเสบเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ และเมื่อฉันพาจูลี่ไปที่คลินิกเด็กอ่อนเพื่อชั่งน้ำหนัก น้ำหนักของเธอไม่ขึ้นเลยในช่วง ๑๐ วันที่ผ่านมา พยาบาลเด็กอ่อนยื่นกระป๋องนมผสมให้ฉัน บอกว่า “ลูกของคุณน้ำหนักขึ้นไม่พอ ให้เธอกินนมนี่อย่างน้อย ๑ ออนซ์หลังจากการให้นมทุกครั้ง” พอฉันถามเธอว่าทำไม เธอตอบง่ายๆ ว่า “เพราะคุณมีน้ำนมไม่พอ” แต่ฉันรู้ดีว่ายิ่งฉันให้จูลี่กินนมจากอกฉันน้อยลง ฉันก็จะยิ่งมีน้ำนมน้อยลง ฉันรู้สึกหัวใจแหลกราญ เกิดอะไรขึ้นกับความฝันที่จะได้ให้นมลูกของฉัน? ฉันมีทางเลือกอื่นไหมเนี่ย? ฉันเริ่มพูดคุยปรึกษากันกับสามีและผู้ช่วยของฉัน ฉันไม่อยากเอาสุขภาพของลูกมาเสี่ยง เพียงเพราะอยากทำตามความฝันของตัวเองที่จะได้ให้ลูกกินนมจากอกแม่ แต่ฉันก็รู้ว่าการกินนมผสมก็มีความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วยเช่นกัน ฉันต้องการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ความจริงในช่วงนี้เราก็เริ่มเห็นสัญญาณของความก้าวหน้าบ้างแล้ว จูลี่เริ่มฉี่บ่อยขึ้น และขากรรไกรของเธอก็ผ่อนคลายมากขึ้นด้วย ฉันเริ่มใช้เครื่องปั๊มนมตามคำแนะนำของผู้ช่วย และป้อนน้ำนมที่ปั๊มออกมาให้จูลี่ด้วยหลอดหยดในเวลาระหว่างมื้อให้นมปกติ พวกเราค่อนข้างมั่นใจว่า ปัญหาเกิดจากการกินนมของจูลี่ ไม่ใช่ความสามารถในการผลิตน้ำนมของฉัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มน้ำนมก็คือการช่วยจูลี่ด้วยการใช้เครื่องปั๊มนมอย่างดี สามีกับฉันเห็นตรงกันว่าถ้าน้ำหนักของจูลี่ไม่เพิ่มขึ้นภายในสุดสัปดาห์นี้ เราอาจจะต้องให้นมผสม วันสองวันแรกที่ใช้เครื่องปั๊มนมทำให้ฉันรู้สึกท้อแท้ใจ – ฉันตั้งอกตั้งใจปั๊มนมวันละหลายๆ ครั้ง ปั๊มแม้กระทั่งตอนกลางคืน แต่ได้น้ำนมออกมาแค่ครั้งละไม่กี่ช้อนชา แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วันการปั๊มนมก็เริ่มง่ายขึ้นและน้ำนมก็เริ่มจะไหลดีขึ้น พอถึงสุดสัปดาห์จูลี่ก็น้ำหนักเพิ่มขึ้น ตั้ง ๒ ออนซ์ภายใน ๓ วันเชียวนะ ฉันบอกกุมารแพทย์ของฉันตอนที่ชั่งน้ำหนักว่า ฉันใช้น้ำนมตัวเองเป็นนมเสริมให้ลูกกินระหว่างมื้อ ไม่ได้ใช้นมผสม หมอสนับสนุนให้ฉันทำเช่นนั้นต่อไป ไม่จำเป็นต้องให้นมผสม ฉันใช้เครื่องปั๊มนมต่อไปเรื่อยๆ และความสามารถในการดูดนมของจูลี่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักตัวของเธอเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในเดือนต่อๆ มา จนชักจะดูจ้ำม่ำ แต่ฉันก็ต้องเป็นกังวลอีกแล้วเมื่อเธอเริ่มไม่ยอมกินนมที่ปั๊มออกมา ก็ฉันชักจะเคยชินกับ “การคิดถึงแต่ความหายนะ” จนไม่ทันได้คิดว่า จูลี่อิ่มเกินไปเพราะได้กินนมจากอกแม่อย่างเต็มที่ เธอไม่สามารถจะกินมากกว่าไปกว่านั้นได้อีกแล้ว ฉันก็เลยเลิกใช้เครื่องปั๊มนมไปในที่สุด ความเจ็บปวดไม่ได้หายไปในทันที – “มันจะเจ็บนิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้ไปตลอดหรือไง?” ฉันเคยสงสัย สำหรับฉันอาการเจ็บค่อยบรรเทาลงอย่างช้าๆ เมื่อจูลี่โตขึ้น เธอก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธออายุ ๒ เดือน ฉันเริ่มจะเชื่อว่าคำพูดที่ผู้ช่วยของฉันและคนอื่นๆ เคยบอกเป็นเรื่องจริง ความเจ็บปวดจะหายไปในที่สุด ฉันมีอาการติดเชื้อที่หน้าอกอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงนั้นเองที่ฉันคิดได้ว่าฉันกำลังประสบกับปัญหาความวิตกกังวลและความกดดัน ซึ่งบางครั้งจะมาพร้อมกับการเป็นคุณแม่มือใหม่ แต่ฉันก็เริ่มเห็นประกายความหวัง เมื่อ ๓ เดือนผ่านไปจูลี่กับฉันกลายเป็นมืออาชีพ ความมั่นใจของฉันในฐานะคุณแม่มือใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันมั่นใจว่าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับลูกน้อยของฉัน ผ่านวันแย่ๆ ได้อย่างไร – จะว่าไปก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยได้ เช่น ให้ลูกกินนมทีละครั้ง, ให้คนอื่นช่วยทำงานบ้านและทำอาหาร, อาบน้ำอุ่นจากฝักบัวบ่อยๆ โดยให้น้ำอุ่นไหลจากด้านหลังมาที่หน้าอก, รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล, การหายใจแบบลามาซ (หายใจถี่ๆ ตอนคลอด ฉันไม่ได้ใช้การหายใจแบบนี้ตอนช่วงเจ็บท้องก่อนคลอด แต่มันช่วยได้มากตอนเจ็บหน้าอกในการให้นมลูกครั้งแรกๆ), ใช้ผ้าอุ่นๆ ประคบหน้าอก, ถ้าเป็นได้ก็พยายามเดินไปเดินมาโดยไม่สวมบราหรือไม่สวมเสื้อ, ปรับอุณหภูมิในบ้านให้อุ่น (จูลี่เกิดเดือนมกราคม), นวดตัว, และที่สำคัญที่สุด คือรู้ไว้เสมอว่ามีผู้ที่เข้าใจและเห็นอกเห็นใจรอรับฟังปัญหาอยู่เสมอ เพียงแค่เรายกหูโทรศัพท์ ก็สามารถขอคำปรึกษาได้ตลอดเวลา ความรักและกำลังใจสนับสนุนที่ฉันได้รับจากเพื่อน (ทั้งเก่าและใหม่) และจากครอบครัว รวมทั้งและความรักที่ฉันได้รับจากลูกของฉัน มีความหมายยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ความปีติยินดีอันใหญ่หลวงเจือปนมากับความเจ็บปวดและความวิตกกังวลในช่วงเวลานั้น และฉันก็จะพยายามอยู่ให้ห่างไกลจากคนอาจจะทำให้ฉันท้อแท้หรือเสียกำลังใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนใหญ่เรามักจะคิดถึงการเป็นคุณแม่มือใหม่ ว่า จะต้องอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่การเป็นแม่มือใหม่ก็ต้องทรหดอดทนด้วย คุณแม่คลอดลูกมาแล้ว ก็ยังต้องดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน ตัวฉันต้องการทั้งจิตใจที่เข้มแข็งอดทน ทั้งความรักและความอ่อนโยน ในการพยายามให้ลูกได้กินนมจากอกแม่ต่อไปเรื่อยๆ แต่รางวัลที่ฉันได้รับก็มหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ ฉันมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นแม่ แต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ในตอนนี้คำว่า ความรักใคร่ ความสะดวก ความสุขสบาย เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกได้เวลาให้นมแก่ลูกสาวผู้ร่าเริงและสุขภาพดี ซึ่งตอนนี้เธอก็เกือบจะสองขวบครึ่งแล้ว แล้วสรุปว่าความทรมานแสนสาหัสในช่วงแรกๆ มันคุ้มค่าไหม? คุ้มแน่นอน อย่างไม่มีข้อสงสัยเลย |