
เส้นทางของเราสองคน เมื่อ มาเรน ลูกสาวของฉันอายุครบสี่ขวบ แกเริ่มบ่นว่านมแม่เหลือจิ๊ดเดียวเอง ก่อนหน้านี้ เราเคยคุยเรื่องนี้กันอยู่นานหลายเดือน เรื่องที่ว่าแกอาจจะไม่จำเป็นต้องดูดนมแม่อีกแล้ว มาเรนชอบดูดนมแม่และไม่ยอมเลิกง่าย ๆ สองสามสัปดาห์ถัดจากนั้น มาเรนยังคงดูดนมจนหลับไป แล้วบ่นเหมือนเดิมว่า “นมเหลือจิ๊ดเดียวเอง” จนคืนหนึ่ง ก่อนเข้านอนแกทำตามแบบแผนเดิม แต่แล้วก็ตัดสินใจยอมแพ้และเริ่มร้องไห้กระซิก ๆ ฉันถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น มาเรนตอบว่า “หนูเสียใจที่นมแม่หายไป” แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ววันนี้จะต้องมาถึง และหลายต่อหลายครั้งก็อยากให้มันมาถึงสักที แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจไปกับลูกด้วย ฉันรู้ดีว่าการเติบโตขึ้นและต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปนั้น ช่างเป็นเรื่องยากเพียงใด คืนนั้นขณะนอนกอดร่างน้อย ๆ ไว้แนบอก ฉันย้อนนึกถึงการเดินทางที่ผ่านมา เส้นทางการให้นมลูก และคิดว่าเราสองคนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ยังจำได้ว่าฉันรู้สึกตกใจแทบช็อก เมื่อเอ่ยถามพยาบาลตอนไปเช็คร่างกายหลังคลอดได้เดือนครึ่งว่าควรให้นมแม่นานแค่ไหน แล้วได้รับคำตอบว่าหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย ก่อนหน้านั้น ฉันเคยวางแผนว่าจะให้นมแม่สักหกเดือน อย่างที่ใคร ๆ เขาก็ทำกันในเวลานั้น หกสัปดาห์แรกช่างเป็นเรื่องยากเย็น จนฉันคิดว่าคงไม่สามารถให้นมแม่ได้ครบปีได้แน่ ๆ แต่พอผ่านช่วงวิกฤติไปได้ไม่นาน เราแม่ลูกก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แล้วการให้นมแม่ก็กลายเป็นกิจวัตรที่แสนง่ายและสนุก มาเรนกินนมเก่ง ฉันไม่เคยต้องเป็นกังวลเรื่องที่จะต้องสอนรหัสเฉพาะระหว่างเราสองคนเพื่อสื่อสารให้แกรู้ว่าถึงเวลากินนมแล้ว ในตอนนั้น ฉันคิดเอาเองว่ามาเรนคงจะหย่านมก่อนแกจะพูดได้ด้วยซ้ำ! วันเกิดขวบปีแรกของมาเรนมาถึง ตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มตระหนักว่า การหย่านมคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และอาจต้องใช้เวลาพอสมควร มาเรนชอบดูดนมแม่และดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจอาหารมื้อหลักสักเท่าไหร่ ตอนนั้นฉันตัดสินใจได้ทันทีว่า การหย่านมครั้งนี้คงต้องใช้เวลาสักหกเดือน ถึงตอนนั้นลูกก็อายุหนึ่งควบครึ่ง ซึ่งน่าจะไม่ติดเต้านมมากเท่านี้แล้ว ฉันมั่นใจว่าคงจะไม่ให้นมลูกไปจนถึงสองขวบแน่ ๆ! หกเดือนผ่านไป ฉันลองให้นมวัวแก่มาเรนหลายต่อหลายครั้งในหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งแบบเย็น แบบอุ่น นมพร่องมันเนย นมวัวธรรมดา นมใส่แก้ว นมขวด และนมช็อกโกแล็ตในท้ายที่สุด แต่ทุกครั้งมาเรนจะแค่จิบเข้าไปอึกหนึ่งแล้วบ้วนออก ก่อนจะทำท่าขนลุกขนพองเหมือนเวลาฉันชิมวิสกี้เพียว ๆ หรือไวน์ชั้นเลว หลังจากนั้น ฉันลองเปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลือง นมข้าว และนมแพะ แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม วันที่มาเรนอายุครบหนึ่งขวบครึ่งผ่านมาและผ่านไป แต่แกก็ไม่มีทีท่าจะหย่านมเลย เด็กน้อยยังคงกินอาหารมื้อหลักไม่มากพอ ฉันเริ่มตระหนักว่าลูกคงจะรู้เรื่องอาหารของตัวแกเองดีกว่าฉันเป็นแน่ นี่เป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของฉันในเรื่องการให้นม ฉันเลิกพยายามจะหย่านมลูก และเชื่อว่ามาเรนคงรู้เองว่าเมื่อไหร่ถึงจะพอ คิดได้อย่างนี้ ฉันจึงหันไปยึดหนังสือ MOTHERING YOUR NURSING TODDLER (การให้นมลูกวัยเตาะแตะ) เขียนโดยนอร์ม่า เจน บัมการ์เนอร์ ไว้เป็นที่พึ่ง เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีพวก ซึ่งก็คือบรรดาแม่ ๆ ที่เคยให้นมหรือยังคงให้นมลูกวัยหัดเดินอยู่ ตอนนั้นฉันตัดสินใจว่าเราสองคนกำลังอยู่บนเส้นทางอันยาวไกล ฉันคิดว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดก็คือ ช่วงมาเรนอายุ 2 ขวบถึง 2 ขวบครึ่ง แน่ล่ะตอนนั้นเธอพูดเก่งเป็นต่อยหอยแล้ว และฉันก็อยากจะเขกหัวตัวเองแรง ๆ ที่ไม่รู้จักสอนคำรหัสเฉพาะที่รู้กันสองคนสำหรับการกินนมไว้ก่อน เพราะพอถึงวัยนี้ที่มาเรนแสนจะเอาแต่ใจ แกมักชอบตะโกนลั่นว่า “แม่ หนูจะดูดนมแม่” ในจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด ก่อนหน้านี้ ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยที่ต้องให้นมมาเรนในที่สาธารณะ ต่อหน้าเพื่อน ๆ และสมาชิกในครอบครัว แต่มาตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกเขินอาย แรงกดดันจากสังคมให้หย่านมเข้ามามีบทบาทต่อฉันมากขึ้น ฉันผ่านช่วงเวลาอันยากเข็ญนี้มาได้ด้วยการก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารว่าด้วยประโยชน์อันไม่มีที่สิ้นสุดของนมแม่ รวมทั้งพึ่งพาเพื่อน ๆ และสามีที่ยังคอยเป็นกำลังใจ ฉันพยายามคิดยุทธวิธียืดเวลาให้นม และให้นมลูกในที่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ในเวลานั้น ฉันมักคิดว่าตัวเองเป็น “ตู้ให้นม” ของลูก เมื่อไหร่ที่มาเรนร้องขอนมในที่สาธารณะ ฉันจำต้องทนเขินอายกับสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนรอบข้างที่ได้ยินคำขอของมาเรน คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเด็กน้อยกำลังขออะไรแม่ บ้างก็คิดว่าคงจะหูฝาดไป ในที่สุด ฉันจึงเริ่มรู้สึกภาคภูมิใจที่ยังคงให้นมแม่จนกระทั่งลูกอายุสองขวบ ภาคภูมิใจที่ฉันสามารถอดทนต่อแรงกดดันของสังคม ภาคภูมิใจที่ฉันเป็นแม่ที่รับฟังลูกและฟังเสียงหัวใจของตัวเอง ภูมิใจที่ฉันยังคงให้นมลูกในช่วงเวลาแสนสำคัญ ตั้งแต่ตอนแกฟันขึ้น แกป่วยเป็นไข้หลายครั้ง ย้ายไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ผู้คนใหม่ ๆ มาเรนออกหัด เจ็บคอ ฯลฯ ฉันภูมิใจที่ได้ให้โอกาสเด็กน้อยคนนี้เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของฉันอย่างพลิกผัน ภูมิใจเหลือเกินที่ฉันได้เป็นแม่ของลูกสาวตัวน้อยคนนี้ ท้ายสุด มาเรนก็เริ่มเข้าใจว่าการกินนมแม่ต้องมีเวลาและสถานที่เฉพาะ และใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจกับการที่เด็ก ๆ จะ “จ๊วบนม” (คำใหม่ที่เธอใช้ในช่วงนี้) เราพูดคุยกันไม่รู้จบเกี่ยวกับเรื่องการให้นม มาเรนยังคงสนใจใคร่รู้ว่าเพื่อนในชั้นของแกเคยกินนมแม่ไหม และยังกินอยู่หรือเปล่า เราชอบเล่นสมมติตัวเป็นคุณแม่อาสากัน และส่วนสำคัญของเกมนี้ก็คือการที่มาเรนให้นมแม่กับตุ๊กตาของแก ครั้นมาเรนอายุได้สามขวบครึ่ง เพื่อนคนหนึ่งของเราเพิ่งคลอดลูกและมีปัญหาเรื่องการให้นมแม่ในระยะเริ่มต้น ฉันกับมาเรนไปเยี่ยมเธอ ขณะที่ฉันกับเพื่อนกำลังคุยกันถึงปัญหาที่เธอเผชิญอยู่ มาเรนมายืนอยู่ข้างเตียงผู้เป็นแม่พลางจ้องดูเด็กน้อยดูดนมอย่างตั้งอกตั้งใจ ตอนแรกฉันคิดว่าลูกคงจะชอบเด็กทารก ผ่านไปราว 10 นาที มาเรนจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยว่า “เขาต้องอ้าปากให้กว้างขึ้นค่ะ” นั่นล่ะคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งฉันและเพื่อนก็เห็นพ้องด้วย! เมื่อใกล้วันเกิดครบรอบสี่ขวบของมาเรน ฉันเริ่มรู้สึกอีกครั้งถึงแรงกดดันจากสังคมให้ต้องหย่านม เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว ฉันก็มั่นใจว่าจะปล่อยให้ลูกหย่านมเอง และบอกกับตัวเองว่า เรามาไกลถึงเพียงนี้แล้ว คงจะไม่ยาวนานไปกว่านี้สักเท่าไหร่ ฉันจะปล่อยให้มาเรนหย่านมตามจังหวะเวลาของแก อย่างสงบและเป็นธรรมชาติ แล้วเวลานี้ก็มาถึงและผ่านไป มาเรนไม่ได้ร้องขอดูดนมอีกต่อไปและแกไม่ได้ดูดนมมานานกว่าสองเดือนแล้ว เมื่อฉันถามลูกว่าหย่านมแล้วหรือ ก็ได้คำตอบว่า “หนูไม่แน่ใจค่ะ” แกยังคงชอบกอดฉันเวลากลางคืน มาเรนผ่านกระบวนการหย่านมด้วยตัวแกเอง ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีลูกเล็ก ๆ อีกต่อไปและต้องต่อสู้กับความรู้สึกของการสิ้นสุดและการอำลา ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเส้นทางนี้ และดีใจที่มีเด็กหญิงน่ารักตัวน้อย ๆ คอยช่วยฉันแสวงหาเส้นทางของฉันเอง แปลจาก A weaning Story By เฮเซล แอล.
|