
สายใยจากอกแม่ รักแท้..แก้ตาบอด 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ทั่วโลก อุปโลกน์ให้วันนี้เป็น “วันแห่งความรัก” หลายที่จึงเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ รูปหัวใจ และช็อกโกแลตแต่จริงๆแล้ว วาเลนไทน์ เป็นชื่อของนักบุญองค์หนึ่ง... นักบุญที่ทำให้ จักรพรรดิที่โรมเกิดความสำนึก และผู้พิพากษาซึ่งเคยเยาะเย้ยท่านในเรื่องที่คริสตังชอบกล่าวว่า “พระคริสต์ทรงเป็นองค์ความสว่างของโลก” ได้กลับใจมาเป็นคาทอลิก เพราะทำให้บุตรสาวของเขาหายจากตาบอด วาเลนไทน์จึงเป็นแบบอย่างและกำลังใจในเรื่องของความเชื่อ และความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะความรักที่บริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไขใดๆ เช่น ความรัก ที่แม่มีต่อลูก และก็น่าแปลกที่เรื่องราวของอาการตาบอดกับเรื่องราวของความรักถูกจับมาโยงใยเข้าหากันในพ.ศ.นี้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อล่าสุดแพทย์ค้นพบว่าสายใยรักจาก “อกแม่” หรือ “น้ำนม” มีสารอาหารชนิดหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากอาการตาบอดของทารกและเด็กเล็กๆ “ลูทีน” คือ สารที่ว่านั้น รศ.นพ. สรายุทธ สุภาพรรณชาติ กุมารแพทย์จากชมรมเวชศาสตร์ ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย เปิดเผยเรื่องราวนี้ ในงานประชุมวิชาการของชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆนี้ คุณหมอสรายุทธ บอกว่า ลูทีน...เป็นสารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่า แซนโทฟิลส์ (Xanthophylls) มีลักษณะเป็นสารสีเหลือง ที่มีผลต่อการปกป้องดวงตาของคนเรา มีการศึกษาพบว่า ในจอประสาทตาจะมีร่องเล็กๆ อยู่จุดหนึ่งที่มีเซลล์รับภาพ ซึ่งเป็นจุดที่แสงตกกระทบ ทำให้สามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวัน ซึ่งบริเวณที่มีปริมาณของสารลูทีนอยู่หนาแน่นมากที่สุด เป็นจุดที่สำคัญมากต่อการมองเห็น หากจุดที่ว่านี้ เกิดเสื่อมหรือเสียไป ก็จะทำให้ตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็นได้ “สารลูทีนในเซลล์รับภาพในจอประสาทตานี้ จะทำหน้าที่สำคัญ คือ คัดกรองแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา และเป็นแสงที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะมีอยู่ทั่วไป... ทั้งแสงแดดในเวลากลางวัน แสงจากโทรทัศน์ แสงจากจอคอมพิวเตอร์ และแสงจากหลอดไฟ” คุณหมอสรายุทธ บอก คุณหมอสรายุทธ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อเด็กอายุมากขึ้น สารลูทีน ในเลือดจะลดลง หากไม่ได้รับสารนี้จากอาหารอย่างเพียงพอ เพราะลูทีนถือเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญในการปกป้องจอประสาทตา มีกรดไขมัน DHA และ AA ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็ก ซึ่งนอกจากจะพบลูทีนในดวงตาของคนเราแล้ว สารนี้ยังพบได้ในสมองส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นถึง 66% พิสูจน์ว่า ลูทีนมีส่วนช่วยในการรับภาพและส่งต่อไปยังสมอง นอกจากนี้ ลูทีนยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ในดวงตาของคนเรา เพราะในดวงตาของเราจะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ ที่เป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพและทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ การศึกษาในต่างประเทศ พบด้วยว่า ปริมาณของลูทีนในกลุ่มเด็กแรกเกิดที่กินนมแม่กับกลุ่มเด็กแรกเกิดที่ได้รับนมผสม มีปริมาณลูทีนในเลือดอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่หลังอายุ 1 เดือน กลุ่มเด็กที่ได้รับนมแม่จะมีปริมาณลูทีนเฉลี่ยในเลือดอยู่ในระดับสูง แต่กลุ่มเด็กที่ได้รับนมผสมจะมีปริมาณลูทีน เฉลี่ยในเลือดลดลง ตรงกับข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า...แม่ไทยนิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนต่ำติดอันดับสุดท้ายเอเชีย และติดอันดับ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก ทำให้เด็กไทย มีไอคิวต่ำกว่ามาตรฐาน โดย 1 ใน 3 มีพัฒนาการช้า นพ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า ผลการศึกษาพัฒนาการและระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็กไทย มีแนวโน้มลดลง ล่าสุด พบว่าเด็กไทยอายุ 6-13 ปี มีไอคิวอยู่ที่ 88 จุด ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้คือ 90-110 จุด และผลสำรวจพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบ ล่าสุดในปี 2550 มีแนวโน้มลดลง จากร้อยละ 72 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 68 ในปี 2550 ถือเป็นดัชนีชี้วัดอนาคตเด็กไทยที่น่าห่วงมาก ที่น่าวิตกอย่างยิ่ง คือ แม่ไทยในยุคหลังๆ นิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในอัตราที่ต่ำมาก ผลการศึกษาขององค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ในปี 2549 พบประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 5.4 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย และเป็นลำดับที่ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก จะต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน ส่วนในเรื่องของสุขภาพสายตา มีข้อมูลว่าเด็กไทยทุกวันนี้ มีสายตา แย่ลง หลายคนต้องใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 5 ขวบ ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เด็กไทยในพ.ศ.นี้ มีภาวะของความไม่ปกติทางสายตาสูงมาก ส่วนหนึ่งมาจากกรรมพันธุ์และพฤติกรรมที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์เป็นเวลานานๆ โรคจอประสาทตาเสื่อมในเด็ก แม้จะพบไม่บ่อยแต่ก็รุนแรง เพราะจอประสาทตา ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดต่อการรับภาพและมองเห็นภาพชัดเจน โดยทำหน้าที่เปลี่ยนแสงที่ตกกระทบเป็นสัญญาณภาพไปแปลผลที่สมอง เมื่อจอประสาทตาผิดปกติ หรือถูกทำลายจะทำให้เห็นภาพเลือนรางหรือสูญเสียการมองเห็น ซึ่งจอประสาทตานี้อาจถูกทำลายจากแสงสีฟ้าซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของแสงที่อยู่รอบๆตัวเรา “ปัญหาสุขภาพตาของเด็กไทยในปัจจุบันยังน่าห่วง เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการปกป้องและดูแลสุขภาพดวงตาของลูก แต่มักจะพามาพบจักษุแพทย์ ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหากับดวงตาของลูกแล้ว ทางที่ดีพ่อแม่ควรให้ความสำคัญใส่ใจดูแลสุขภาพดวงตาของลูก ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการมองเห็นของลูกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพัฒนาการด้านอื่นๆ "พัฒนาการทางสายตาและการมองเห็นของเด็ก...ถือเป็นประตูสู่การเรียนรู้และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการรอบด้าน” คุณหมอศักดิ์ชัย ย้ำ สำคัญที่สุด เด็กจะมีการพัฒนาการด้านสายตาสูงสุดช่วงแรกเกิดถึง 4 ขวบ ดังนั้น การที่เด็กได้กินนมแม่ที่มีสารอาหารที่ช่วยพัฒนาทั้งสมองและสายตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายชัดเจนที่จะรณรงค์ให้ “แม่” ได้ เลี้ยงลูกด้วยนมของตนเองเพื่อสร้างเด็กไทยให้ฉลาด สุขภาพดี อารมณ์ดี ซึ่งผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า เด็กที่กินนมแม่จะมีปัญญาดี หรือ ฉลาดกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ถึง 11 จุด ที่สำคัญ การให้ลูกได้ดื่มนมแม่เป็นการถ่ายทอดไออุ่นของความรัก ความผูกพันผ่านน้ำนมจากแม่สู่ลูก มีคำกล่าวว่า...ความรักทำให้คนตาบอด แต่จากผลวิจัยที่บรรดาแพทย์ได้ออกมายืนยันตรงกันในครั้งนี้คงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า...รักแท้ๆจากอกแม่ นอกจากจะไม่ทำให้ตาบอดแล้ว ยังทำให้ตาสว่างและฉลาดอีกด้วย! ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ [14 ก.พ. 52] |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (27649) | |
น่าจะไปไล่เบี้ยเอากับบรรดาโรงบาลเอกชนทั้งหลายที่มักแจกตัวอย่างนมผงก่อนออกจากโรงบาล ดิฉันคิดว่าคุณแม่ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยอยากจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันทั้งนั้นและส่วนใหญ่ก็จะตกเป็นเหยื่อการทำตลาดของบริษัทนมผงโดยผ่านช่องทางโรงบาล ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมากทั้งๆที่เด็กเป็นอนาคตของชาติแท้ๆ เเต่กลับเห็นแต่ประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว | |
ผู้แสดงความคิดเห็น แม่น้องแป้ง (t_sivakarn-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-02-28 01:37:18 |
ความคิดเห็นที่ 2 (148885) | |
รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขควรจัดทำเรื่องนมแม่เป็นวาระแห่งชาติไปเลย เพื่อยกระดับสติปัญญาของเด็กไทยในอนาคต ดิฉันเป็นครูเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าเด็กไทยไอคิวต่ำลงมาก ซึ่งส่วนใหญ่โตมากับนมผง สมัยนี้เด็กในชนบทพ่อแม่ก็มักทิ้งไว้กับปู่ย่าตายายตั้งแต่วัยทารกพร้อมกับนมผง เด็กในเมืองแม่ก็เร่งรีบในการทำงานทำให้ต้องใช้นมผงเพราะคิดว่าดีเท่านมแม่ตามคำโฆษณา แพทย์พยาบาลส่วนหนึ่งก็ไม่เห็นความสำคัญของนมแม่แถมยังตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาและกลุ่มบริษัทนมผง คนที่รับกรรมคือเด็กอนาคตของชาติ แน่นอนว่าเมื่อเด็กโตขึ้นก็เรียนไม่ค่อยเก่ง ครูก็ถูกตราหน้าว่าล้มเหลวเพราะสอนอย่างไรเด็กถึงเรียนแย่ลงๆ ไม่มีใครคิดค้นหาถึงต้นตอที่แท้จริง ดิฉันคิดว่านี่คือสาเหตุหลักๆเลย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คุณแม่ลูกสอง วันที่ตอบ 2011-04-07 08:29:15 |
ความคิดเห็นที่ 3 (148955) | |
เห็นด้วยกับความคิดที่2 ที่สุด เราควารนำเรื่องการเลื้ยงลูกด้วยนมมาเผยแพร่ให้ความรู้กันเยอะ ๆ สำหรับคุณแม่ทุกคน ทำไมไม่ทุ่มโฆษณาทางทีวีเหมือนนมผง และน่าจะให้คุณแม่ลาคลอดได้อย่างน้อย 6 เดือน เพราะนี้เป็นสาเหตุหลักและหมายถึงศักยภาพของประเทศ ประเทศจะได้พัฒนายิ่งขึ้น อยามัวเห็นแก่ประโยชน์และผลกำไรของบรษัทที่ผลิตนมผง เพราะไม่ว่าจะคิดค้นพัฒนานมผงกันเท่าไร ยิ่งทำให้รู้ว่านมแม่มีประโยชน์มากกว่าจริง ๆๆๆๆๆ และอยากให้แม่ทุกคนให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง เพราะนั้นหมายถึงระดับสติปัญญา และระดับไอคิว ตลอดจนสุขภาพของลูกน้อยของคุณ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คุณแม่ที่รักลูก วันที่ตอบ 2011-04-19 14:49:32 |
[1] |