บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com/
"ความรักของแม่ ไม่มีที่สิ้นสุด"
ค่ำวันหนึ่งเมื่อผมกลับถึงบ้าน ขณะภรรยาผมกำลังเสริฟอาหารเย็น ผมจับมือเธอแล้วพูดว่า "ผมมีอะไรจะบอกคุณ" เธอนั่งลงอย่างเงียบๆ และอีกครั้งที่ผมสังเกตเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของเธอ ทันใดนั้น ผมถึงกับพูดไม่ออกแต่ผมต้องบอกเธอวันนี้ "ผมต้องการหย่า" ผมพูดเบาๆเธอไม่ได้ดูตกใจเธอถามเบาๆ "เพราะอะไร"
ผมไม่ตอบเธอ จึงทำให้เธอโมโห เธอปาตะเกียบและตะโกนใส่ผมว่า "คุณไม่ใช่ลูกผู้ชาย" คืนนั้นเราไม่ได้พูดกัน เธอนอนสะอื้นผมรู้ว่า เธอต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตสมรสของเรา แต่ผมยังหาคำอธิบายที่ดีให้เธอไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้ผมรักเจน ผมไม่ได้รักเธออีกต่อไปแล้ว มีแต่เพียงความสงสาร
ด้วยความรู้สึกผิด ผมร่างข้อตกลงในการหย่า ให้บ้านหลังนี้ ให้รถ และส่วนแบ่ง 30 เปอร์เซนต์ในบริษัท เธอเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วฉีกมันเป็นชิ้นๆ ผู้หญิงที่ใช้เวลาสิบปีของเธออยู่กับผม กลายเป็นคนแปลกหน้า ผมรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิด สำหรับเวลาและ ความทุ่มเทที่เธอให้กับผม แต่ผมไม่สามารถกลับคำพูดว่า ตอนนี้ผมรักเจนมาก เธอร้องไห้อย่างหนักซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดไว้แล้ว เมื่อเห็นเธอร้องไห้ออกมา ทำให้ผมรู้สึกได้ปลดปล่อยลงบ้าง เพราะความต้องการอยากจะหย่า มันอัดอั้นอยู่ในใจผมมาหลายสัปดาห์แล้ว
วันรุ่งขึ้น ผมกลับดึกมาก แต่ก็เห็นเธอนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่กินอาหารเย็น แต่ตรงไปนอนเลย และหลับอย่างรวดเร็วเพราะผมเหนื่อยมากับเจนทั้งวันแล้วเมื่อผมตื่น เธอยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่ผมไม่ได้สนใจ พลิกตัวนอนต่อ
ตอนเช้า เธอยื่นข้อเสนอในการหย่า เธอไม่ต้องการอะไรจากผม แต่หนึ่งเดือนก่อนหย่า ผมและเธอจะต้องใช้ชีวิตตามปกติ เหตุผลของเธอง่ายมาก "เพราะว่าลูกชายของเราใกล้จะสอบในอีกหนึ่งเดือน และเธอไม่ต้องการให้การหย่ามีผลกระทบต่อการสอบของลูก
ผมเห็นด้วย แต่เธอยังต้องการอีกสิ่งเธอถามผมว่า ยังจำวันแต่งงานได้ไหมที่ผมอุ้มเธอไปที่ห้องนอน เธอต้องการให้ผมอุ้มเธอทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนจากห้องนอนไปที่ประตูบ้าน ผมคิดว่า เธอต้องบ้าแน่ๆ แต่ก็ตอบตกลง
ผมบอกเจนเรื่องข้อตกลง เจนหัวเราะเสียงดังและคิดว่าเป็นเรื่องน่าขัน เจนบอกอย่างเย็นชาว่า ไม่ว่าภรรยาของคุณจะพยายามทำอะไร ก็ต้องหย่าอยู่ดีผมและภรรยาไม่ได้สัมผัสตัวกันเลยตั้งแต่พูดเรื่องหย่า ดังนั้นวันแรกที่ผมอุ้มเธอไปที่ประตู เรารู้สึกเงอะๆงะๆ ลูกชายของเราปรบมือพร้อมกับพูดเชียร์ว่า "พ่อกำลังอุ้มแม่" คำพูดของลูก ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด จากห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วไปที่ประตู ผมอุ้มเธอเดินมากกว่าสิบเมตร เธอปิดตาแล้วพูดเบาๆว่า "อย่าให้ลูกรู้เรื่องที่เรากำลังจะหย่า" ผมพยักหน้า และรู้สึกผิดในใจ ผมวางเธอที่หน้าประตู เธอรอรถประจำทางเพื่อไปทำงาน ส่วนผมขับรถไปทำงานตามลำพัง
วันที่สอง เราทำได้ง่ายขึ้น เธอพิงตัวบนหน้าอกผมจนผมได้กลิ่นหอมจากเสื้อของเธอผมตระหนักทันทีว่าผมไม่ได้มองอย่างใกล้ชิดเธอคนนี้มานานเพียงใดเธอไม่ได้สาวเหมือนเดิม มีรอยย่นที่หน้า ผมสีขาวขึ้นประปราย ชีวิตสมรสของเราทำให้เธอสูญเสียความสดใสของเธอไป นาทีนั้นผมสงสัยว่า ผมได้ทำอะไรให้เธอบ้าง
วันที่สี่ ขณะที่ผมอุ้มเธอขึ้น ผมรู้สึกถึงความผูกพันระหว่างเรากลับคืนมา เธอคนนี้คือคนที่อยู่กับผมมาสิบปีแล้ว วันที่ห้าและหก ผมรู้สึกว่าความผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้บอกเจนเรื่องนี้ ผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกๆวัน อาจเป็นเพราะความเคยชิน
เช้าวันหนึ่ง เธอพยายามหาเสื้อผ้าใส่ที่พอดีตัว แต่ก็ไม่มี เธอถอนหายใจแล้วพูดว่า เสื้อผ้าพวกนี้หลวมไปหมด ทันใดนั้นผมจึงตระหนักว่า เธอผอมลงทุกวันๆ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมจึงอุ้มเธอง่ายขึ้นเรื่อยๆ
ผมเหมือนถูกตีอย่างแรง เมื่อคิดได้ว่า เธอกลบเกลื่อนความเจ็บปวด และ ความขมขื่นไว้ในใจเพียงผู้เดียวโดยไม่ได้แสดงออกแม้แต่น้อย โดยไม่รู้ตัว ผมตรงเข้าไปเอามือแตะที่ศีรษะเธอ ขณะเดียวกับที่ลูกชายเดินเข้ามาเตือนว่า "พ่อครับ ถึงเวลาอุ้มแม่แล้วครับ" สำหรับลูก การที่พ่ออุ้มแม่ทุกวัน กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาไปแล้ว ภรรยาของผมเรียกให้ลูกเดินเข้ามาหาแล้วกอดลูกแน่น ผมหันหน้าหนี เพราะกลัวว่าจะเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย แล้วผมก็อุ้มเธอออกจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่น ทางเดิน เธอโอบแขนรอบคอผมเบาๆอย่างเป็นธรรมชาติ ผมอุ้มเธอแน่นขึ้น เหมือนกับเมื่อวันแต่งงาน
แต่น้ำหนักที่หายไปอย่างมากของเธอทำให้ผมรู้สึกใจหาย วันสุดท้ายที่ผมอุ้มเธอ ผมแทบจะก้าวเท้าเดินไม่ได้ ลูกเราไปโรงเรียนแล้ว ผมอุ้มเธอแน่นแล้วพูดว่า "ผมไม่ได้สังเกตมาก่อนเลยว่า ความใกล้ชิดหายไปจากชีวิตคู่ของเรานานมากแค่ไหน" ผมขับรถไปทำงาน กระโดดออกจากรถโดยไม่ได้ล็อครถ เพราะกลัวว่า ถ้าช้าเกินไป จะทำให้ผมเปลี่ยนใจ ผมเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องทำงาน เจนเปิดประตูห้องเข้ามา ผมพูดกับเธอว่า "ขอโทษนะเจน ผมไม่ต้องการหย่าแล้ว"
เจนมองผม ทำหน้าประหลาดใจแล้วเอามือแตะหน้าผากผม "คุณไม่สบายหรือเปล่า" ผมเอามือเธอออกแล้วพูดว่า "เจน ผมขอโทษ ผมจะไม่หย่า ชีวิตคู่ของผมน่าเบื่อเพราะว่า ผมและเธอไม่ได้ให้คุณค่ากับรายละเอียดของชีวิตคู่ แต่ไม่ใช่ เป็นเพราะว่าเราไม่ได้รักกันอีกต่อไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ตั้งแต่วันแรกที่ผมอุ้มเธอเข้าบ้านของเราในวันที่แต่งงาน ผมควรจะอุ้มเธอตลอดไปจวบจนวันที่เราตายจากกันไป" เจนเริ่มรู้สึกตัวจากภวังค์ เจนตบหน้าผมสุดแรง แล้ววิ่งปิดประตูอย่างแรงพร้อมกับน้ำตาพรั่งพรู ส่วนผมเดินลงบันไดขับรถกลับบ้าน แวะสั่งดอกไม้ให้ภรรยา เด็กขายดอกไม้ถามว่า "จะเขียนอะไรบนการ์ดไหม" ผมยิ้มแล้วเขียนว่า "ผมจะอุ้มคุณทุกๆวัน จนกว่าความตายจะมาพรากเราจากกัน"
เย็นนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ดอกไม้ในมือ และรอยยิ้มบนใบหน้า ผมวิ่งขึ้นบันได เพียงไปพบว่า เธอเสียชีวิตแล้วบนเตียง ภรรยาของผมต่อสู้กับมะเร็งมานานหลายเดือนแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้ เพราะมัวแต่ยุ่งกับเจน เธอรู้ดีว่า เธอจะอยู่ได้ไม่นาน แต่เธอต้องการปกป้องผมจากความรู้สึกไม่ดีของลูกชายที่จะมีต่อผม หากลูกรู้ว่า เรากำลังจะหย่ากัน อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เธอทำ ทำให้ผมเป็นสามีที่รักภรรยามากในสายตาของลูกชาย
สิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตคู่ของคุณ ที่จริงแล้วมีความสำคัญอย่างมากต่อความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา มันไม่ใช่บ้านหรูหรา รถยนต์คันโต ทรัพย์สินเงินทอง หรือ ตัวเลขเงินในบัญชี สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขแบบฉาบฉวย แต่ ไม่ใช่ความสุขจากภายในจิตใจ
ดังนั้น จงหาเวลาเพื่อทำสิ่งเล็กๆน้อยๆ เป็นเพื่อนกับคู่ชีวิตของคุณ เพื่อสร้างความผูกพันใกล้ชิดระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ จึงจะทำให้มีชีวิตคู่ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง