บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com/
ลูกอายุ 1 ปี 3 เดือน มีไข้สูง 39 องศา โดยไม่ได้เป็นหวัด หรือไอ คุณหมอตรวจปัสสาวะและเจาะเลือด ผลคือติดเชื้อแบคทีเรียในระบบปัสสาวะ ให้Ultrasound ไต เพื่อที่จะดูว่าไตผิดปกติหรือไม่ อยากทราบสาเหตุที่ทำให้ติดเชื้อและถ้าไตผิดปกติเกิดจากสาเหตุอะไร มีอาการอย่างไร?โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบเป็นภาวะที่พบได้ประมาณ 5% ในเด็กเล็กที่มีไข้โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน (หมอตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติ เช่น ไม่มีอาการแสดงของหวัด หูไม่อักเสบ คอไม่แดง เป็นต้น) แต่เป็นภาวะที่มีความสำคัญมาก เพราะถ้าเกิดการอักเสบที่ไตอาจมีผลในระยะยาวต่อสุขภาพของลูก เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันสูง มีโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเมื่อโตขึ้นและตั้งครรภ์ มีภาวะไตวาย ดังนั้นการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจึงมีความสำคัญ เพราะถ้าวินิจฉัยไม่ได้ รักษาช้า มีการติดเชื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะเกิดผลเสียดังกล่าวข้างต้น
อาการที่นำผู้ป่วยพบหมอได้แก่ ไข้ ร้องกวนหรือมีอาการปวดท้องเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีแดงหรือขุ่น ปัสสาวะบ่อย ไม่สุด บางคนมาด้วยเรื่องเบื่ออาหาร อาเจียน ถ่ายเหลว เมื่อหมอตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน จะทำการเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจโดยการดูด้วยกล้องจุลทรรศน์นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และส่งเพาะเชื้อเพื่อทราบชนิดของการติดเชื้อ หากพบว่ามีความผิดปกติหมอจะทำการรักษาโดยการให้ยาปฏิชีวนะ และหากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบทุกรายที่มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ควรได้รับการตรวจระบบทางเดินปัสสาวะโดยอัลตราซาวด์ (ultrasound KUB) เพื่อดูความผิดปกติทางด้านรูปร่างของไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ และทำ Voiding cystourethrogram (VCUG) หรือทำ Radionuclide cystography (RNC) เพื่อตรวจดูว่ามีการไหลย้อนกลับทิศทางของปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะขึ้นไปตามท่อไตหรือไตหรือไม่ แสดงถึงความผิดปกติที่เรียกว่า Vesico-ureteric reflux (VUR) เพื่อการดูแลต่อเนื่องที่เหมาะสมต่อไป เนื่องจากภาวะ VUR เป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อซ้ำๆจนเป็นอันตรายต่อไตในระยะยาวได้
คุณแม่ควรพาลูกพบหมอหากสงสัยว่าลูกเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ เพื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะให้ลูกทานเอง
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะ ในรายที่ทานอาหารไม่ได้ มีอาการอ่อนเพลียมาก ควรอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดและให้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีด เมื่ออาการดีขึ้นคือไข้ลดและเริ่มทานอาหารได้ ก็เปลี่ยนเป็นยารับประทานต่ออีกจนครบ 7-14 วัน ในรายที่อาการไม่รุนแรงสามารถให้เป็นยารับประทานได้เลย อาการควรดีขึ้นภายใน 2 วันคือ ไข้ลดลง แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ต้องพิจารณาเปลี่ยนยาตามผลเพาะเชื้อที่ได้ หลังจากให้ยาครบแล้ว ควรให้ยาในขนาดป้องกันจนกว่าจะทำการตรวจดูความผิดปกติทางระบบทางเดินปัสสาวะครบแล้ว เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
หากตรวจพบว่ามีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ หมอจะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะขนาดป้องกันต่อเนื่อง และนัดผู้ป่วยมาตรวจดูการทำงานของไตและกระเพาะปัสสาวะ ตรวจวัดความดัน เป็นระยะๆจนกว่าจะแก้ไขภาวะดังกล่าวจนเป็นปกติ ซึ่งบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขภาวะ VUR แต่ส่วนใหญ่ไม่ต้องผ่าตัด เพราะภาวะ VUR มักดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เพียงแต่ให้ยาป้องกันการติดเชื้อซ้ำ เพื่อไม่ให้เป็นแผลเป็นที่ไตจากการติดเชื้อบ่อยๆ
ให้ลูกดื่มน้ำมากๆและปัสสาวะบ่อยๆ เพื่อช่วยขับเชื้อโรคออกจากร่างกาย
ให้ยาลดไข้ เช็ดตัว และการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ทานอาหารทีละน้อย ให้บ่อยๆในรายที่มีปัญหาคลื่นไส้อาเจียน
การป้องกัน
การให้ลูกดื่มนมแม่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรค
การดูแลทำความสะอาดทันทีหลังการขับถ่ายอุจจาระในกรณีที่ใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เพื่อลดโอกาสปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจากอุจจาระขึ้นไปตามทางเดินปัสสาวะ