บทความโดย พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.doctorbreastfeeding.com/

 ป้าหมอขอตอบจากความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆนะคะ ไม่มีงานวิจัยมารองรับ 

โดยส่วนตัวแล้ว มีความเชื่อจากการที่ตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ หลังจากเลิกกินนมวัวและผลิตภัณฑ์นมวัวแล้ว อาการภูมิแพ้ดีขึ้นอย่างชัดเจน จึงหาข้อมูลความเกี่ยวข้องเรื่องภูมิแพ้กับนมวัวอ่าน และแนะนำคนไข้ที่เป็นภูมิแพ้ให้หยุดกินนมวัวและผลิตภัณฑ์นมวัว ก็พบว่าส่วนใหญ่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนงดนมวัวได้มากน้อยเพียงใด และ แพ้อาหารอื่นด้วยไหม
เมื่อตระหนักแล้วว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่กินนมวัวไม่ได้ ก็พยายามหาข้อมูลว่า ถ้าไม่กินนมวัวแล้ว ชีวิตจะสูญเสียอะไรไปบ้างไหม ก็พบว่า คนไทยในสมัยก่อนก็ไม่ได้กินนมวัว คนกินเจ ชีวจิต มังสวิรัติจำนวนไม่น้อยก็ไม่กินนมวัว ก็พบว่า คนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จึงได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองว่า การไม่ได้กินนมวัว ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเสียหายอะไร ขอให้เรากินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วนก็พอแล้ว
แนวคิดของป้าหมอที่มีต่อนมวัว คือ ตัวป้าหมอเองกินนมวัว แล้วจะมีอาการแพ้ จาม คัดจมูก มีเสมหะ เจ็บคอ ป้าหมอจึงเลิกกินนมวัวมานานแล้ว อาการต่างๆก็หายไป แต่วันไหนอยากกินไอศครีมหรือเค้กเจ้าอร่อยจริงๆ วันนั้นก็ต้องกินยาแก้แพ้ตามเข้าไป เพราะจะจามไม่หยุด และเจ็บคอตามมา ทีนี้ลูกของป้าหมอก็อาจรับพันธุกรรมแพ้นมวัวไปแล้ว ป้าหมอจึงไม่กินนมวัวผลิตภัณฑ์นมวัวตั้งแต่ตั้งครรภ์ และไม่กินนมถั่วเหลือง เพราะกลัวว่าถ้ากินนมถั่วเหลืองตอนตั้งครรภ์ อาจไปกระตุ้นให้ลูกแพ้ ภายหลังเมื่อลูกหย่านมแม่แล้ว จะอดกินนมถั่วเหลืองไปด้วย กลัวไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ถึงแม้ว่ายังไม่มีงานวิจัยมายืนยันว่า การกินอะไรมากๆตอนตั้งครรภ์จะเป็นสาเหตุของลูกเป็นภูมิแพ้ และที่สำคัญคือ ป้าหมอจะเก็บพื้นที่ในกระเพาะเอาไว้กินอาหารอื่นให้หลากหลาย 

ป้าหมอให้ลูกกินอาหารให้หลากหลายและอาหารแคลเซียมสูงโดยไม่กินนมวัว พอหย่านมแม่ ให้ลูกกินนมถั่ว นมธัญพืชแคลเซียมสูง เน้นข้าว ไม่เน้นนม เพราะหย่านมแม่หลังขวบไปแล้ว (คนโต 2 ขวบกว่า คนเล็ก 6 ขวบกว่า) หลัง 5 ขวบ ป้าหมอให้ลูกกินผลิตภัณฑ์ได้นิดหน่อย เช่น ไอศครีมอาทิตย์ละครั้ง แต่ก็มีอาการบ้างค่ะ เช่น เลือดกำเดาไหล คัดจมูก แต่ก็ไม่ถึงกับป่วยต้องกินยาฆ่าเชื้อค่ะ
แต่ถ้าใครกินนมวัวแล้ว ไม่มีปัญหาสุขภาพอะไรเลย ก็กินได้ค่ะ
หญิงตั้งครรภ์ควรดื่มนมเพราะอะไร ต่างจากหญิงไม่ตั้งครรภ์อย่างไร
ก่อนตั้งครรภ์ และ หญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เพื่อลดความเสี่ยงความผิดปกติของสมองและไขสันหลัง ควรกินอาหารที่มีโฟลิค เช่น ตับ ไข่แดง ผักสีเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง หรือ โฟลิคเม็ด ช่วงนี้ยังไม่ต้องการแคลอรี่และแคลเซียมเพิ่มขึ้น จึงไม่ต้องกินนมค่ะ 6 เดือนหลัง ต้องการแคลอรี่เพิ่มขึ้นจาก 2,000 เป็น 2,500 กิโลแคลอรี่/วัน ต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นจาก 1,000 เป็น 1,200 มก./วัน
หากเลือกที่จะกินนมวัว หรือ นมถั่วแคลเซียมสูง หรือ ผงโปรตีนขายตรง เพิ่มจากอาหาร 3 มื้อที่กินปริมาณปกติ วันละ 2 แก้ว ก็จะได้แคลอรี่และแคลเซียมครบตามความต้องการ แต่ถ้าคุณแม่กินอาหารอื่นๆเพิ่มเข้าไปอีก ก็จะได้แคลอรี่ส่วนเกิน ปัญหาที่ตามมาคือ น้ำหนักคุณแม่จะขึ้นมากเกินไป คุมไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น นั่นคือ 12 กก.ตลอดการตั้งครรภ์ (โดยใช้เกณฑ์นี้สำหรับคุณแม่ที่มีนน.เดิมปกติ แต่ขึ้นมากกว่านี้ได้ ถ้านน.เดิมของแม่น้อยกว่าปกติหรือเป็นคนผอมมากขาดสารอาหาร และ ขึ้นน้อยกว่านี้ถ้านน.เดิมของแม่เกินปกติหรือเป็นคนอ้วน)
และถ้ากินนมทุกวัน จะไม่ตรงตามแนวคิดที่ว่า ควรกินอาหารให้หลากหลาย ไม่จำเจ ไม่ซ้ำซาก เพราะนมที่กินเข้าไป ก็คือสิ่งที่กินซ้ำซากทุกวัน และอย่าลืมว่าคุณแม่อาจกินผลิตภัณฑ์นมวัวอีกมากมายที่กินกันเป็นกิจวัตรประจำวัน ไอศครีม 1 แกลลอน ทำจากนม 6 แกลลอน ส่วนชีส 1 กก.ทำจากนม 10 ลิตร
สู้ให้หญิงตั้งครรภ์เก็บความต้องการแคลอรี่ที่เพิ่มขึ้น เอาไว้กินอาหารหลากหลายดีกว่าไหมคะ แคลอรี่เพิ่มขึ้น 500 กิโลแคลอรี่ ก็เทียบเท่ากับก๋วยเตี๋ยว หรือ อาหารจานเดียวเพิ่มขึ้นอีก 1 ชาม/วัน ส่วนแคลเซียมที่ต้องการเพิ่มขึ้น ก็กินจากอาหาร เช่น ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดพืช ให้หลากหลายเช่นกัน หรือ แคลเซียมเม็ดที่คุณหมอสูติให้ก็เพียงพอแล้ว
พยายามหักห้ามใจ ไม่กินขนมหวาน เบเกอรี่ เนย ชีส ไอศครีม กันด้วยนะคะ ล้วนแต่เป็นอาหารเสี่ยงโรคอ้วน และ อาจไปกระตุ้นให้ลูกเป็นภูมิแพ้ได้ด้วยค่ะ