คนที่เป็นแฟนเพจของป้าหมอ คงไม่มีใครพลาดกระทู้ฮอตในพันทิปกระทู้นี้ เอาเป็นว่าตั้งแต่พี่เข้ามาวนเวียนในสงครามน้ำนมตั้งแต่เริ่มทำร้านนมแม่และเว็บ Breastfeedingthai ในปี 2006 สิ่งที่เห็นมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมาก็คือ คนที่ทำงานรณรงค์เรื่องนมแม่ ไม่ว่าจะต้องทำตามหน้าที่หรืออินกับนมแม่จนเข้ามาร่วมด้วยตามสมัครใจก็ตาม ต่างก็โดนข้อหานี้กันทั่วหน้า โดนตลอด โดนเป็นระยะ โดนแรกๆ ก็ชา โดนนานๆ ไปก็ชิน
"จะรณรงค์นมแม่ ก็ทำไป ทำไมต้องโจมตีนมผงด้วย"
"แทนที่จะมาด่านมผง ทำไมไม่อบรมบุคลากรในรพ. ให้ช่วยให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้"
"นมผงไม่ใช่ผู้ร้าย คนที่ให้นมผงก็ไม่ใช่อาชญากร"
ย้อนไปในอดีตก่อนที่จะมีนมผงเกิดขึ้น การให้ลูกกินนมแม่เป็นเรื่องธรรมชาติ ใครๆ ก็ให้นมลูกได้ เด็กบางคนที่แม่เสียชีวิตหรือแม่ไม่สามารถให้นมได้ (มีเพียง 2-5% เท่านั้น) ก็จะมีแม่นมคอยช่วยให้นมทดแทน นมผสมเกิดขึ้นก็เพื่อช่วยแก้ปัญหาส่วนน้อยๆๆๆ นี้ แต่หลังจากนั้นบริษัทนมผสมไม่พอใจเพียงแค่ตลาดกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น จึงเริ่มส่งเสริมให้มีการใช้มากขึ้น โดยอ้างว่าเป็นนมที่ “ทดแทนนมแม่ได้อย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้”
การโหมโฆษณาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้คนเชื่อว่า นมผสม เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทันสมัย และสะดวกกว่านมแม่ จึงทำให้เกิด ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่จริง ๆ แล้วแทบจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลย
มีใครรู้บ้างไหมคะว่า ในยุคแรกๆ ที่มีการใช้นมผงกันอย่างแพร่หลายในประเทศตะวันตกนั้น แม่ทุกคนจะถูกฉีดยาเพื่อทำให้น้ำนมแห้งทันที หลังจากคลอด
หมอไม่จำเป็นต้องถามความต้องการของแม่ที่มาคลอดเลยว่าอยากจะให้ลูกกินนมแม่หรือเปล่า เพราะเด็กทุกคนจะถูกป้อนด้วยนมผง หมอสั่งนมผงให้กับเด็กทุกคนโดยไม่สนใจว่าแม่ของเด็กจะมีนมหรือไม่
"นมผงไม่ใช่ผู้ร้าย" ใช่ไหมคะ
หลังจากอัตราการเกิดในประเทศตะวันตกค่อยๆ ลดลง ทำให้ยอดขายของนมผงลดลง บริษัทนมผสมก็เริ่มมองหาตลาดใหม่ๆ คือกลุ่มประเทศโลกที่สาม
ทารกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเป็นจำนวนมากต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิตเพราะความโลภของผู้ผลิตนมผง
สาเหตุเพราะเด็กขาดภูมิคุ้มกันที่ควรได้รับจากนมแม่ น้ำที่ไม่สะอาด การขาดความรู้เรื่องสุขอนามัย บวกกับการที่นมผงมีราคาแพง ทำให้แม่ต้องเติมน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้เปลือง
"นมผงไม่ใช่ผู้ร้าย" ใช่ไหมคะ
เวลาที่เราบอกว่านมผงมีประโยชน์สำหรับแม่บางคนที่ไม่มีนม ซึ่งมีไม่เกิน 5% นั่นหมายความว่า 95% ของแม่ควรจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ และมีเพียง 5% เท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้นมผง ถูกต้องไหมคะ
ตอนที่พี่ทำหนังสือ "ให้ลูกกินนมกระป๋อง แน่ใจหรือ" ข้อมูลที่หาได้จาก Unicef ในตอนนั้นคือ ประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียง 5.4% ซึ่งหมายความว่า 95% ไม่ได้กินนมแม่ ทำไมมันกลับกันล่ะคะ
ก่อนหน้านี้ในประเทศตะวันตก หมอฉีดยาเพื่อให้แม่น้ำนมแห้ง แล้วสั่งนมผงให้เด็ก สำหรับกลุ่มประเทศโลกที่สาม (ไทยเราก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น) บริษัทนมผงใช้วิธีการแจกตัวอย่างนมผงฟรีให้กับแม่ที่เพิ่งคลอด
ถ้าแม่ใช้ตัวอย่างนมผงฟรีนี้หมด ก็พอดีเวลากับที่นมแม่จะแห้ง เพราะร่างกายไม่ได้รับการดูดกระตุ้นจากลูก
จาก 5% ตามธรรมชาติที่แม่อาจจะมีนมไม่พอสำหรับลูก กลายเป็น 95% ของแม่ในเวลานั้นที่ไม่สามารถมีนมพอสำหรับลูก
เมื่อนมตัวเองแห้งไปแล้ว แม่ที่รายได้ไม่พอและไม่มีเงินซื้อนมผงราคาแพง ก็ต้องใช้นมข้นหวานเลี้ยงลูก
ในกระทู้พันทิป มีผู้แสดงความเห็นจำนวนมากๆ ว่า ตัวเองไม่ได้กินนมแม่ โตมาด้วยนมผง นมข้นหวาน ต่างก็ฉลาดและแข็งแรงดี พวกเรามองข้ามอะไรไปหรือเปล่าคะ ทุกคนสนใจแต่ประเด็นที่ว่า ถึงไม่ได้กินนมแม่ ก็โตมาแข็งแรงและฉลาดได้
ไม่มีใครสนใจเลยว่า #ทำไมถึงกินนมผง กินนมข้นหวาน ทำไมพวกเราไม่ได้กินนมแม่
ทวดของเราเลี้ยงยายเราด้วยนมแม่ ยายเราก็เลี้ยงแม่เราด้วยนมแม่ แต่พอถึงแม่เรา กลับไม่มีนมเลี้ยงเรา มันเกิดโรคระบาดอะไรขึ้นในประเทศไทยในช่วงเวลานั้นหรือคะ ที่อยู่ดีๆ ผู้หญิงที่คลอดลูกทุกคนต่างก็ไม่มีนมเลี้ยงลูกพร้อมๆ กัน
"นมผงไม่ใช่ผู้ร้าย" ใช่ไหมคะ
ก่อนที่จะมีนมผง แม่ทุกคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พี่ป้าน้าอา คนข้างบ้านก็เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หัวนมสั้น บอด แบน ยาว เล็ก ใหญ่ เต้าคัด เต้าตึง หัวนมแตก นมน้อย นมมาช้า ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็ไม่ต่างจากทุกวันนี้ แต่ทุกคนก็รอดมาได้
แต่พอมีนมผง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กลายเป็นเรื่องยาก เหมือนที่ทุกวันนี้เราหุงข้าวกันไม่เป็นแล้ว ถ้าไม่มีหม้อหุงข้าว ภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปี ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้อยู่ในป่า หลังเขา คนธรรมดาที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้เองไม่มีเหลืออยู่แล้วค่ะ
ทำไมเราต้องอุ้มลูกไปคลีนิคนมแม่ เพื่อให้พยาบาลและผู้เชี่ยวชาญสอนให้เราเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พวกเราตีโพยตีพายกันว่าไม่มีบุคลากรเพียงพอที่จะช่วยเหลือ หมอ พยาบาลไม่มีความรู้ แทนที่จะด่านมผง ควรจะไปอบรมบุคลากรให้เพียงพอดีกว่า
ไม่สงสัยหรือคะว่าก่อนหน้านี้ บรรพบุรุษของเราเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันมาได้อย่างไรโดยปราศจากผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยเหลือ
เพราะสมัยก่อนไม่มีนมผงไงคะ ใครๆ ก็ให้ลูกกินนมตัวเอง ทุกคนทำเป็น ทำได้ สอนกันต่อๆ มา แค่เพียงรุ่นแม่เราเองนี่แหละที่บริษัทนมผงใช้วิธีการที่ไร้จริยธรรม เอาความทันสมัยมาล่อหลอก ติดสินบนหมอ พยาบาล แจกตัวอย่างฟรีให้แม่ของเรา ทำให้แม่เรานมแห้งภายในเวลาไม่นาน
แม่เราก็บอกเราว่าแม่ไม่มีนม แม่เราจึงเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่เป็น ทำให้เราคิดว่าเราก็คงไม่มีนมเหมือนแม่ แม่เราสอนเราไม่ได้ แล้วแม่เราก็บอกให้เราชงนมเลี้ยงลูก เหมือนที่แม่ชงนมเลี้ยงเรา
แม่สามีของเราก็ไม่มีนมเลี้ยงสามีเราเช่นกัน แม่สามีของเราก็เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่เป็น แม่สามีของเราก็ชงนมเลี้ยงสามีเรา แม่สามีของเราจึงสอนให้เราให้นมลูกไม่ได้ แม่สามีของเราจึงต้องบอกให้เราชงนมเลี้ยงหลาน
"นมผงไม่ใช่ผู้ร้าย" ใช่ไหมคะ
ในปี 1981 ที่ประชุม World Health Assembly โดย WHO และ Unicef สมาชิกทั้งหมด 118 ประเทศ (ยกเว้น USA) ยินยอมทำข้อตกลงยอมรับ หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารเสริมและอาหารทดแทนนมแม่
เนื้อหาสำคัญของข้อตกลงคือ การห้ามโฆษณาประชาสัมพันธ์นมผงหรือผลิตภัณฑ์ทดแทนนมแม่อื่นๆ ประเทศไทยยอมรับข้อตกลงนี้ตั้งแต่การประชุมครั้งนั้น แต่เราไม่สามารถบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการละเมิดหลักเกณฑ์นี้มากที่สุด
ประเทศรอบบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ล้วนแล้วแต่มีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สูงกว่าเราทั้งสิ้น ประเทศที่สามารถบังคับใช้ Code นี้เป็นกม.ได้ มีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กลุ่มคนเล็กๆ ที่ถูกรังเกียจ ชิงชัง ด่าทอ ประชด ประชันใน social อยู่ทุกวัน กำลังช่วยกันพยายามให้ความรู้ แนะนำให้คนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วยกันผลักดันพรบ.ควบคุมการตลาดของนมผง เพื่อที่จะช่วยให้แม่ทุกคนกลับมามีนมพอสำหรับเลี้ยงลูกอีกครั้ง เพื่อที่จะหยุดวงจรอุบาทว์นี้ไม่ให้เกิดกับลูกหลานของเราอีกในอนาคต
"กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ร้าย" ใช่ไหมคะ
ถ้าใช่ พี่ก็ขอเป็นหนึ่งในขบวนการก่อการร้ายนี้อีกคนค่ะ
เรียกพี่ว่าผู้ร้ายได้นะคะ...จากใจคุณแม่ลูกสาม kiki emoticon
#พี่เก๋_ร้านนมแม่
ปล. ภาพประกอบเป็นภาพรณรงค์เพื่อประณามการทำการตลาดไร้จริยธรรมของบริษัทนมผงยักษ์ใหญ่