
DHA-AA สูตรนมเด็กฉลาดจริงหรือหลอก ??? ![]() โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2549 09:33 น. นมผสม หรือนมผงในท้องตลาดบ้านเรามีอยู่หลายชนิดหลากยี่ห้อ ที่ฮือฮาที่สุดในช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมานี้คงไม่พ้นนมผสมที่มี DHA และ AA ซึ่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง เชื่อตามโฆษณาสนิทใจว่า สารอาหารดังกล่าวช่วยพัฒนาสมองและสายตาของทารก เป็นประโยชน์ต่อลูกตัวน้อยอย่างมาก และนั่นเป็นเรื่องจริง! แต่...ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้ คือ DHA และ AA ก็มีอยู่ใน “นมแม่” โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้มีอยู่ใน “นมวัว” ดังนั้น เพื่อให้รู้เท่าทันโฆษณาและสินค้า เราจึงควรทำความรู้จักกับ DHA และ AA ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย
ผศ.พ.กุสุมา ชูศิลป์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายความหมายของ DHA และ AA ว่า DHA (Docosahexaenoic acid) และ AA (Arachindonic acid) หรือบางทีเรียกว่า ARA ทั้ง 2 ชนิดเป็นกรดไขมันอิ่มตัวชนิดสายโซ่ยาว (Long-chain Polyunsaturated Fatty Acid) โดย DHA เป็นกรดไขมันสายพันธุ์โอเมกา 3 และ AA เป็นสายพันธุ์โอเมกา 6 ช่วยในการพัฒนาด้านสายตาและสมองของทารก
ทั้งนี้ สมองของทารกจะประกอบด้วย ไขมันร้อยละ 60 และร้อยละ 15-20 ของกรดไขมันเป็น DHA และ AA โดยที่ DHA กระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ประสาท สมอง และจอตา ส่วน AA กระจายอยู่ส่วนต่างๆ ในร่างกาย กระตุ้นการเจริเติบโต โดยเฉพาะในช่วง 2 ขวบปีแรกทารกมีความต้องการ DHA และ AA ในการพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกาย และสมองเป็นอย่างมาก
แต่ในระยะเริ่มต้น 4-6 เดือนแรกน้ำย่อยไขมันของทารกยังไม่เพียงพอในการสังเคราะห์กรดไขมันโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ได้เต็มที่ จึงยังไม่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นเป็น DHA ได้พอ ดังนั้น ทารกจึงต้องได้รับ DHA และ AA จากน้ำนมแม่ ขณะเดียวกันก็สามารถรับสารเหล่านี้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป ดังนั้นในช่วงนี้แม่จึงต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในอาหารจำพวกปลาทะเลเท่านั้น แต่มีในปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี หรือปลาที่มีไขมันปานกลาง เช่น ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะละเม็ดขาว สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ด้วย
ผศ.พ.กุสุมา อธิบายต่อว่า สารอาหาร DHA และ AA ที่ได้จากนมแม่นั้นธรรมชาติจะมีการปรับปริมาณให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงวันเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อให้เข้าไปปรับสมดุลระบบภายในร่างกายของลูกได้อย่างทันท่วงที และทำให้เซลล์สมอง และระบบการทำงานต่างๆ ของลูกพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ ที่สำคัญน้ำนมแม่มี DHAและAA มีการสร้างผลิตในร่างกายที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีและเพียงพอต่อทารก เพราะธรรมชาติรังสรรค์สิ่งที่มนุษย์ต้องการอย่างเหมาะสม นมแม่จึงดีที่สุด
และปัจจุบัน DHA และ AA ที่ได้จากนมผสมนั้นยังไม่มีผลวิจัยชิ้นใดที่รายงานว่าปริมาณที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าใด ต้องมีสัดส่วนอย่างไร จึงยังไม่มีการยืนยันว่าการเติมสารเหล่านี้ลงไปจะมีผลในการเสริมสร้างสมองจริงรวมทั้งในระยะยาวจะมีโทษหรือไม่ และที่สังเกตได้อย่างชัดเจนจากการตรวจสอบประสาทตาในเด็กทารก 4 เดือน ช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนถึง 7-8 ขวบปีแรกแต่ยังไม่มีหลักฐานใดชี้ว่า DHA และ AAในนมผสมมีผลคงทนเท่านมแม่ อย่างไรก็ตามการที่เด็กรับประทานนมผสมที่มีการเติม DHA และ AA ย่อมดีกว่าไม่เติมกลุ่มที่ไม่มีสารนี้เลย สำหรับกรณีข้อสงสัยว่า DHA และ AA มีส่วนในการพัฒนาสมองและสติปัา อย่างไร
ศ.เกียรติคุณ นพ.วีระพงษ์ ฉัตรานนท์ คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้แม่เข้าใจผิดในเรื่องการโฆษณาของนมผสมที่มีการเติมสารอาหาร DHA แล ะAA ว่าเป็นสารที่ช่วยในการพัฒนาสมองของทารก ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การพัฒนาสมองของเด็กที่สำคัญมาจากพันธุกรรมและน้ำนมของแม่ ส่วนสาร DHA และ AA มีส่วนช่วยพัฒนาสมองจริง แต่หากเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในอีกมากมายหลายปัจจัยที่ช่วยพัฒนาสมองคนทั้งทางตรงและทางอ้อมเท่านั้น
“พัฒนาการของสมองเป็นผลการทำงานประสานกันระหว่างพันธุกรรมที่ได้จากพ่อแม่และสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงดู ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองทั้งโดยตรงและอ้อม ที่จริงสารทั้งสองตัวมีอยู่แล้วในนมแม่ตามธรรมชาติแต่ไม่มีอยู่ในนมวัวเลยเพราะไม่จำเป็นสำหรับลูกวัว แต่สำหรับคนเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ผลิตนมผงจึงต้องมาหาวเพิ่ม DHA และ AA ที่เพิ่มในนมผงก็ไม่ได้มาจากนมแม่หรือนมสัตว์อื่น ต้องสกัดมาจากสาหร่ายเซลล์เดียว น้ำมันปลา ไข่แดงสกัด” นพ.วีระพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจาก DHA และ AA แล้ว นมแม่ยังมีสารที่สำคัญมากมายต่อการพัฒนาการของสมอง ที่เรียกว่า Nerve growth factor ซึ่งช่วยให้เซลล์สมองและประสาทพัฒนาได้สมบูรณ์ที่สุด สารนี้ไม่ได้ถูกพูดถึงเลยเพราะบริษัทนมยังหามาเพิ่มไม่ได้
การที่แม่เข้าใจผิดและนำไปสู่การซื้อนมผสมมาให้ลูกกินนั้น ข้อเสียที่สำคัญคือ ทำให้เด็กไทยสูญเสียโอกาสในการกินนมแม่ และในบางรายได้ของแถมทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้อีกด้วยเนื่องจากการกระตุ้นของโปรตีนในนมวัว ส่วนผลโดยทางอ้อมที่เกิดจากน้ำนมแม่และจากตัวแม่เองที่อยู่กับลูกตลอดเวลา น้ำนมแม่มีสารป้องกันเชื้อโรค โรคติดเชื้อจึงเกิดได้ยากหรือหายเร็ว ทำให้การเจริเติบโตของร่างกายและสมองไม่หยุดชะงัก
ที่สำคัญมากเช่นกันคือ การที่ลูกได้สัมผัส ได้สื่อกับแม่และได้ดูดนมแม่ตั้งแต่แรกคลอดและในเวลาต่อ ๆ มา ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของลูก คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสถูกกระตุ้น ทำให้วงจรของสมองและประสาทที่เป็นหนทางเชื่อมการติดต่อระหว่างเซลล์สมองและเซลล์ประสาทที่ร่างกายได้เตรียมไว้เป็นล้าน ๆ วงจร ได้ทำงานครบวงจรซ้ำไปซ้ำมา จนเป็นวงจรที่ถาวรและสมบูรณ์ วงจรเหล่านี้จะสมบูรณ์และถาวรจะต้องถูกกระตุ้นภายในระยะกำหนดเวลา และถูกกระตุ้นซ้ำ ๆ กัน หากส่วนไหนไม่ได้ถูกกระตุ้นหรือกระตุ้นน้อย จะถูกร่างกายขจัดออกไป การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีแม่อยู่ใกล้ชิดลูก ยังสามารถปลูกฝังให้ลูกมี ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ความฉลาดทางศีลธรรม (MQ)ความฉลาดทางต่อสู้กับอุปสรรค (AQ) ฉะนั้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็คือการให้อนาคตแก่ลูก
ขอขอบคุณ คุณศศิวดี นาคสกุล ที่ส่งบทความนี้มาให้ค่ะ |
นมแม่ VS นมผสม